หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไม่น่าเชื่อ...ความทุกข์ที่คนเราทุกข์ใจที่สุด...เป็นเรื่องความรัก

จากประสบการณ์ที่เคยได้พูดคุยกับผู้คนมากมาย เมื่อมาลองนึกทบทวนดูเกี่ยวกับเรื่องความทุกข์ที่แต่ละคนมักกล่าวถึงกลับกลายเป็นเรื่องของความรัก มิใช่เรื่องความยากจน ทั้งๆ ที่ถ้าดูเพียงผิวเผินแล้ว ความยากจนนี่น่าจะน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะเราอาจจะไม่มีข้าวกิน ไม่มีบ้านที่อยู่อาศัย  ถ้าเราได้ลองกลับไปทบทวนเรื่องของความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ(Maslow’s Hierarchical Theory of Motivation)   ซึ่งค้นคว้าโดย Maslow กล่าวว่า

ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ( The Need –Hierarchy Conception of Human Motivation ) เรียงลำดับจากขั้นต้นไปสู่ความต้องการขั้นต่อไปไว้เป็นลำดับดังนี้

1. ความต้องการทางด้านร่างกาย ( Physiological needs )
2. ความต้องการความปลอดภัย ( Safety needs )
3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ( Belongingness and love needs )
4. ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Esteem needs )
5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ( Self-actualization needs )

ลำดับขั้นความต้องการของ Maslow มีการเรียงลำดับขั้นความต้องการที่อยู่ในขั้นต่ำสุด บุคคลจะต้องได้รับความพึงพอใจเสียก่อน จึงจะสามารถผ่านพ้นไปสู่ความต้องการที่อยู่ในขั้นสูงขึ้นไปตามลำดับได้

จะเห็นว่าทั้งความทุกข์จากความยากจนไม่มีอันจะกิน และความทุกข์เพราะความรักก็รวมอยู่ในความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ดังกล่าวนี้ด้วย จึงเป็นธรรมดาที่คนเราจะมีความทุกข์อันเกิดจากการที่ความต้องการของเราดังกล่าวนั้นยังไม่สมหวัง ไม่สมปรารถนา หรือยังไม่ได้รับการเติมเต็ม เราจึงทุกข์เพื่อดิ้นรนให้ตัวเราได้รับการตอบสนองความต้องการต่างๆ เหล่านั้น เมื่อขั้นต่ำสุดได้รับความพึงพอใจแล้ว ก็ไปทุกข์ข้ออื่นที่เป็นความต้องการที่สูงขึ้นไปนั่นเอง  แต่ถ้าเราอยู่ในระดับที่เราพอจะยอมรับได้เมื่อไหร่ การดิ้นรนก็เหนื่อยน้อยลง ความทุกข์ก็น้อยลงไปด้วย จึงเป็นอย่างที่คำพูดเก่าแก่ที่เรามักได้ยินอยู่เสมอว่า ให้เรารู้จักความพอดี แม้จะเป็นคำพูดที่เก่าแก่แล้วก็จริง แต่ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอ อีกคำขอแถมซึ่งก็ได้ยินจนหลายคนเบื่อ คือ ปล่อยวาง  นั่นแหละ คำพูดอมตะตลอดกาลที่สามารถช่วยให้เราคลายจากความทุกข์ได้

เรื่องของความทุกข์มีอีกมากมาย Happy Admin ขออนุญาตินำบทความจากเว็บไซต์ที่ผู้อื่นได้ทำไว้ดีแล้วมารวบรวมเพิ่มเติมส่วนท้ายนี้ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความทุกข์ เผื่อว่าจะช่วยให้เพื่อนๆ รู้สึกดีขึ้นนะคะ นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว เราต้องรีบขจัดปัญหาใดๆ ที่ทำให้เรามีความทุกข์ เพื่อว่าเราจะมีความสุขต้อนรับปีใหม่กันนะคะ

* ลำดับแรกขอขอบคุณเว็บไซต์ของ Industrial Management Engineering, King Mongkut's University of Technology North Bangkok : http://www.kmitnbxmie8.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5354814&Ntype=3  เพื่อนๆ สามารถแวะเข้ามาอ่านเรื่อง ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ(Maslow’s Hierarchical Theory of Motivation) เพิ่มเติมได้ที่นี่นะคะ
* ความรักกับความทุกข์ โดยท่าน ว. วชิรเมธี Posted by YingeXtreme  เว็บไซต์ http://www.oknation.net/blog/yingextreme/2009/09/17/entry-1
* ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ Posted by พี่ชาย เว็บไซต์ http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=109734&Ntype=4
* โชคดีที่มีความทุกข์ จากเว็บไซต์ http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538707011&Ntype=128
* ทำให้ความทุกข์กลัวเรา โดยหนูดี วนิษา เรซ จากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
* วิธีสลายความทุกข์ด้วยตัวเอง เว็บไซต์โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ว่านหางจระเข้กับความสวยความงาม

หลังจากที่ได้รับประทานน้ำว่านหางจระเข้ของพี่ข้างบ้านมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ Happy Admin ก็เลยนำเรื่องของว่านหางจระเข้มาเล่ากันซะเลย  จริงๆ ก็เป็นเรื่องโบราณๆ แล้วเพราะใครๆ ก็น่าจะรู้กันทั่วว่าว่านหางจระเข้นั้นมีสรรพคุณหรือประโยชน์อย่างไรบ้าง  แต่ว่าจะมีสักกี่คนที่ได้ตระหนักและได้นำว่านหางจระเข้มาใช้กับตนเองจริงๆ ในชีวิตประจำวัน

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aloe vera (L.) Burm.f.  ส่วนที่เรานำมาใช้ได้คือ ยางในใบ น้ำวุ้น เนื้อวุ้น และเหง้า

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

ใบ - รสเย็น ตำผสมสุรา พอกฝี
ทั้งต้น - รสเย็น ดองสุราดื่มขับน้ำคาวปลา
ราก - รสขม รับประทานถ่ายโรคหนองใน  แก้มุตกิด
ยางในใบ - เป็นยาระบาย (ห้ามใช้กับคนที่ตั้งครรภ์ กำลังมีประจำเดือน และคนที่เป็นริดสีดวงทวาร)
น้ำวุ้นจากใบ - ล้างด้วยน้ำสะอาด ฝานบางๆ รักษาแผลสดภายนอก น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำให้แผลเป็นจางลง ดับพิษร้อน ทาผิวป้องกันและรักษาอาการไหม้จากแสงแดด ทาผิวรักษาสิวฝ้า และขจัดรอยแผลเป็น
เนื้อวุ้น - เหน็บทวาร รักษาริดสีดวงทวาร ใช้รับประทานแก้โรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้อักเสบ อีกทั้งน้ำวุ้นและเนื้อวุ้นใช้รับประทานแก้โรคปวดตามข้อได้อีกด้วย
เหง้า - ต้มรับประทานแก้หนองใน และโรคมุตกิด

ว่านหางจระเข้กับความสวยความงาม

- วุ้นจากใบสดชโลมบนเส้นผม ทำให้ผมดก เป็นเงางาม และเส้นผมสลวย เพราะวุ้นของว่านหางจระเข้ทำให้รากผมเย็นเป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี ผมจึงดกดำเป็นเงางาม นอกจากนั้นแล้วยังช่วยรักษาแผลบนหนังศรีษะด้วย
- รักษาผิวเป็นจุดด่างดำ ผิวด่างดำนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอายุมาก หรือถูกแสงแดด หรือเป็นความไวของผิวหนังแต่ละบุคคล  ใช้วุ้นทาวันละ 2 ครั้ง หลังจากได้ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำสะอาด ต้องมีความอดทนมากเพราะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จึงจะหายจากจุดด่างดำ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ควรใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทาจะทำให้ผิวหนังมีน้ำมีนวลขึ้น
- รักษาสิว ยับยั้งการติดเชื้อ ช่วยเรียกเนื้อ ช่วยลดความมันบนใบหน้า เพราะในใบว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ

สำหรับสาระสำคัญ ที่สามารถรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอื่นๆ นั้น ได้ค้นพบว่าเป็นสาร Glycoprotein  มีชื่อว่า Aloctin A  เป็น  Anti-inflammatory  ซึ่งพบในทุกๆ ส่วนของว่านหางจระเข้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารนี้สามารถรักษาโรคได้หลายโรค เช่น มะเร็ง แก้อาการแพ้  รักษาไฟไหม้  และรักษาโรคผิวหนัง

กรณีใช้เป็นยาทาภายนอก อาจมีคนแพ้แต่น้อยมาก ไม่ถึง  1%  (ผลจากการวิจัย) อาการแพ้เมื่อทาหรือปิดวุ้นลงบนผิวหนัง จะทำให้ผิวหนังแดงเป็นผื่นบางๆ บางครั้งก็เจ็บแสบ อาการนี้จะเกิดขึ้นหลังจากทายา 2-3 นาที  ถ้ามีอาการเช่นนี้ ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดและเลิกใช้

สารเคมีที่มีในว่านหางจระเข้

Aloe-emodin, Alolin, Chrysophanic acid Barbaboin, AloctinA, Aloctin B, Brady Kininase Alosin, Anthramol Histidine, Amino acid , Alanine Glutamic acid Cystine, Glutamine, Glycine

ปัจจุบัน ว่านหางจระเข้ได้มีการนำมาผลิตโดยเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ครีมนวดผม โลชั่นหรือครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย After Sun Lotion  สบู่ ฯลฯ  ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปในท้องตลาด

ส่วนสำหรับท่านที่สนใจน้ำว่านหางจระเข้เพื่อนำไปจำหน่าย มีความสะอาดและปลอดภัยเพราะมีการปลูกแบบ Organic ในฟาร์มของตนเองไม่มีการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อโรค ยาฆ่าเชื้อรา มีทั้งสูตรธรรมชาติไม่ใส่น้ำตาล เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและน้ำตาล  และสูตรหวาน (น้อย) ซึ่งทั้ง 2 สูตรนี้มีปริมาณเนื้อวุ้นให้เยอะมากค่ะ รับประทานกันได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจ สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Aloe Drink โทร 081-5713331, 081-8433866

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_17_3.htm

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใกล้ช่วงเทศกาลกินเจแล้วค่ะ

อาหารเจ ห้องอาหารจีนเดอะพีค โรงแรมดุสิตธานี พัทยา
เทศกาลกินเจปี 2553 นี้ตรงกับวันที่ 8-16 ตุลาคม เพื่อนๆ บางคนคงเตรียมตัวที่จะกินเจกันแล้ว ไม่ว่าจะเตรียมเครื่องปรุงอาหาร, อาหารแห้ง เช่น เห็ด, ฟองเต้าหู้, วุ้นเส้น ฯลฯ หรือแม้กระทั่งบะหมี่สำเร็จรูปเจ ไว้ติดบ้านกันเผื่อวันไหนฝนตกแดดจัดก็สามารถทำอาหารเจรับประทานกันที่บ้านได้

"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม (รวมถึงต้นกระเทียม หัวหอม (รวมถึงต้นหอม)  หลักเกียว กุ้ยฉ่าย ใบยาสูบ  เพราะผักดังกล่าวเหล่านี้เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษที่ทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกายเป็นมูลเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ

1. กระเทียม ทำลายการทำงานของหัวใจ ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุไฟในกาย
2. หัวหอม    ทำลายการทำงานของไต      ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุน้ำในกาย
3. หลักเกียว  ทำลายการทำงานของม้าม  ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุดินในกาย
4. กุ้ยฉ่าย  ทำลายการทำงานของตับ       ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุไม้ในกาย
5. ใบยาสูบ  ทำลายการทำงานของปอด ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุโลหะในกาย

ปัญหาคือผู้คนจะสงสัยว่ากระเทียมก็ดี หัวหอมก็ดี ทราบกันมาว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย กระเทียมซึ่งทางการแพทย์และเภสัชค้นพบว่ามีสารที่สามารถละลายไขมันในเส้นโลหิต (คลอเลสเตอรอล) จึงใช้รับประทานเป็นยาได้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน เป็นต้น หอมแดง พบว่ามีสรรพคุณช่วยรักษาโรค เช่นขับลม แก้ท้องอืดแน่น ฯลฯ เป็นต้น  แต่ถ้าได้ศึกษาให้ดีแล้วการกินกระเทียม หัวหอม เป็นประจำทุกวันหรือกินมากเกินไป โดยเฉพาะทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แทนที่จะเป็นผลดีต่อร่างกายกลับกลายเป็นผลร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายเสียอีก

ตรงกันข้าม ถั่ว 5 สี กลับมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว นอกจากนี้การกินเจนั้นควรจัดให้มีผักและผลไม้ซึ่งในแต่ละวันนั้นควรมีให้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้

1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญญลักษณ์ ธาตุไฟ
2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญญลักษณ์ ธาตุน้ำ
3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญญลักษณ์ ธาตุดิน
4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญญลักษณ์ ธาตุไม้
5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญญลักษณ์ ธาตุโลหะ

ตัวอย่าง
สีแดง ผัก ได้แก่ มะเขือเทศ, พริกสุก, หัวแครอท   ผลไม้ ได้แก่ มะละกอ, ส้ม, แตงโม
สีดำ   ผัก ได้แก่ มะเขือม่วง, เผือก, เห็ดหูหนู         ผลไม้ ได้แก่ ละมุด, ลูกหว้า, องุ่น
สีเหลือง ผัก ได้แก่ ฟักทอง, ข้าวโพด, พริกเหลือง ผลไม้ ได้แก่ มะม่วง, กล้วย, ทุเรียน
สีเขียว ผัก ได้แก่ ผักคะน้า, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง          ผลไม้ ได้แก่ ฝรั่ง, ชมพู่, แคนตาลูปเขียว
สีขาว ผัก ได้แก่ ผักกาดขาว, กระหล่ำดอก, ไชเท้า  ผลไม้ ได้แก่ มะพร้าว, น้อยหน่า, มังคุด

คุณประโยชน์จากการกินเจ

1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน ช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
2. เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลส์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวและมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรง เบาสบายไม่อึดอัด มีสุขภาพดี
3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน และอวัยวะประกอบทั้ง 5 แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง
- อวัยวะหลักภายในทั้ง 5 ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
- อวัยวะประกอบทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดา
5. ไม่ค่อยปรากฏว่าผู้ที่รับประทานอาหารเจเป็นประจำจะป่วยเป็นโรคที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเหลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคเบาหวาน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร

การกินเจให้ผลดีต่อจิตใจดังนี้

1. จิตใจมีความสงบ เยือกเย็น สุขุม มีความเมตตาจิต อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โกรธง่าย
2. หยุดทำบาปตัดกรรมเวร
3. ทำให้มีสติมั่นคง ทั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และยามที่จิตวิญญาณจะออกจากร่างไป
4. ตนเอง ครอบครัว บุตรหลาน และบริวาร จะบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
5. บรรดาเหล่าเทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างสรรเสริญชื่นชมอำนวยพรให้การอารักขาคุ้มครองตลอดเวลา

นอกจากนี้การกินเจ ไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจแล้ว เพื่อช่วยลดการเข่นฆ่าเนื้อสัตว์ หากเราทำได้ก็ควรกินเจในวันสำคัญอื่นๆ ด้วย ได้แก่

1. วันเกิดตนเอง
2. วันเกิดของลูกหลาน
3. วันแต่งงาน
4. วันจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
5. วันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
6. วันทำบุญสร้างกุศล
7. วันขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เอาละค่ะ เมื่อเพื่อนๆ อ่านกันจบแล้วคงจะมีกำลังใจในการกินเจ เพื่อลดการฆ่าสัตว์กันนะคะ ในช่วงเทศกาลกินเจจะมีอาหารเจที่เยอะแยะมากมายหลายชนิดให้เพื่อนๆ รับประทานสลับสับเปลี่ยนกันไปตลอดเวลา 9 วัน อีกทั้งผลไม้บ้านเราก็อุดมสมบูรณ์เหลือเกิน ให้พวกเราได้อิ่มหนำสำราญโดยไม่ต้องหันไปมองเนื้อสัตว์เลย   ช่วงรับประทานเจนี้ลองสังเกตุสีของอุจจาระของตนเองดู จะเห็นว่าสีสวยมาก...555...บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีขึ้นนั่นเองค่ะ   ถ้าเพื่อนๆ ท่านใดหวังรับประทานอาหารเจเพื่อลดน้ำหนักละก้อ ต้องระวังเมนูที่มีมันมาก และพวกขนมหวานด้วยนะคะ  อย่าเข้าใจว่าเป็นอาหารเจแล้วไม่อ้วนนะ ถ้ามันมากก็ไม่ดี ทานแป้งมากก็ไม่ดีแน่นอนค๊ะ.....

"หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย"

ถ้าทุกๆ คนพร้อมใจกันงดเว้นเนื้อสัตว์หันมากินเจแม้เพียงคนละ 1 มื้อ สัตว์จำนวนนับหมื่นนับแสนชีวิตก็จะรอดตาย อย่ามองข้ามมหากุศลของการกินเจเพียงมื้อเดียว
ส่วนสำหรับใครที่กินเจทุกๆ วันอยู่แล้ว หรือกินเจเป็นประจำทุกวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาก็ดี Happy Admin ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ทำได้ต่อไปนานๆ   ส่วนเทศกาลกินเจปีนี้ใครที่กินเจไม่ว่าจะสามารถกินเจได้กี่มื้อก็ตาม Happy Admin ก็ขอร่วมอนุโมทนาด้วยเช่นกันค่ะ....


ขอยกคุณงามความดีให้กับ หวัง ซื่อ ไฉ่ . เสริมมงคลชีวิตด้วยการกินเจ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : แวลูพลัส อินเตอร์เนชั่นแนล, 2544
ขอขอบคุณรูปอาหารเจที่น่ารับประทานจาก http://www.thaipr.net/nc/sharetofacebook.aspx?newsid=9971B9037E58FD95F1CE8BA056E12EFC

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว...ไม่ใช่ข่าวใหม่แต่ก็ขอ post อีกที

Happy Admin จำได้ว่าเคยอ่านสูตรการทำโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว จากหนังสือเรื่อง "นาฬิกาชีวิต"  นานหลายปีแล้ว  และหลังจากที่ได้อ่านจากหนังสือเล่มนี้นานเหมือนกันจึงได้เจอรายการ "30 ยังแจ๋ว" ทางช่อง 3 นำมาเล่าให้ฟังกันอีกทีนึง ซึ่งก็ทำให้เกิดความสนใจและมีท่านผู้ชมมากมายที่จดสูตรไม่ทันจากรายการ "30 ยังแจ๋ว" ในวันนั้นก็ขวนขวายหาสูตรโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว กันจ้าละหวั่นไปหมด เรื่องนี้มันมีเหตุผลค่ะ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับคุณผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทุกๆคนเลยค่ะ อ่านบทความนี้ก่อนนะคะแล้วจะทราบว่าสูตรโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว น่าทานขนาดไหน ทำไมวันนั้นจึงทำให้ท่านผู้ชมทั่วประเทศพากันสนอกสนใจมากขนาดนั้น

โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว เป็นวิธี detox ลำไส้เล็กตามธรรมชาติ เป็นสูตรที่นำมาจากพระไตรปิฏกเมื่อกินโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาวเข้าไปจะไปล้างลำไส้ได้ แลคโตบาซิลัสในโยเกิร์ตจะไปช่วยย่อยไขมันและขยะในลำไส้ ให้เป็นวิตามินบี 12 และวิธีการนี้จะช่วยล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาดอีกด้วย

เครื่องปรุง     โยเกิร์ต  1/2 ถ้วย
                       นมสด 1 กล่อง
                       น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
                       มะนาว  1 ลูก

วิธีทำ นำเครื่องปรุงทั้งหมดผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามใจชอบ

สรรพคุณ - ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ทำให้ระบบดูดซึมบกพร่องเป็นต้นเหตุของปัญหาเหล่านี้คือ

1. ถุงน้ำดีข้น เมื่อถุงน้ำดีข้น ผลที่ตามมา ได้แก่
- นอนไม่หลับ
- อารมณ์ฉุนเฉียว
- ถ้าข้นถึง 80% จะเป็นนิ่วในไต
- เหงือกบวม (การนอนหลับไม่เต็มอิ่มทำให้เหงือกบวมได้)
- สายตาเสื่อม
- ทำให้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- ส่งผลกระทบไปถึงปอด
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้มึนศรีษะ
3. ไตจะเสื่อมเพราะต้องทำงานหนัก เมื่อไตเสื่อมเป็นผลให้ความจำลดลง
* ไตซ้ายผิดปกติ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ ความรักสวยรักงามจะลดลงและเป็นคนขี้ร้อน
* ไตขวาผิดปกติ  ความจำจะลดลง และเป็นคนขี้หนาว
4. เลือดเลี้ยงหัวใจน้อย ถ้าเลือดเลี้ยงหัวใจเหลือเพียง 30% เครื่องมือแพทย์ จะตรวจพบอาการของโรคหัวใจ
5. ม้ามชื้น ทำให้อาหารและน้ำที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมัน เป็นผลให้อ้วนง่าย
6. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่าย เพราะม้ามไปเบียดปอด คนม้ามโตกินอาหารเท่าไรก็จะไม่อ้วน (ม้ามเป็นตัวควบคุมเม็ดเลือดขาวและน้ำเหลือง)
7. กรณีไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้มีผลดังนี้
- จะเป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- เกิดโรคภูมิแพ้
8. ไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก

หมายเหตุ โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว นี้ถ้ากินช่วงเช้าจะช่วยลดความอ้วน แต่ถ้ากินช่วงบ่าย (หลังบ่ายสามโมง) จะเพิ่มความอ้วน

ข้อมูลอ้างอิง :อาจารย์นวลฉวี ทรรพนันทน์. นาฬิกาชีวิต.เว็บไซต์ http://www.si.mahidol.ac.th/Th/division/shdp/admin/knowledges_files/5_27_1.pdf

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ส้มตำผลไม้...เมนูสุขภาพดีจ๊ะ


Happy Admin เคยทานส้มตำผลไม้แล้วอร่อยม๊ากๆ แถมมีวิตามินแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการหลากหลายชนิด  ตอนแรกก็ซื้อทาน ต่อมาก็ลองทำทานเอง ทำง่ายมากค่ะ และไม่เสียเวลาเตรียมของมากนัก เพื่อนๆ ที่รักสุขภาพลองทำทานกันดูนะคะ วันนี้หาสูตรมาบอกไว้เผื่อเพื่อนๆ จะได้นำไปใช้ทำตามสูตรนี้ได้หรืออาจดัดแปลงชนิดผลไม้หรือเครื่องปรุงต่างๆ ตามใจชอบ

ส้มตำผลไม้

ส่วนประกอบ

1. ผลไม้ตามที่ชอบ หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 2 ถ้วยตวง
2. กุ้งฝอยหรือกุ้งต้มสุกแล้วแต่ชอบ      40 กรัม
3. ผักใบเขียวใช้ตกแต่งจาน                  ตามชอบ



ส่วนประกอบน้ำส้มตำ

1. พริกขี้หนูใส่ได้ตามชอบ
2. กระเทียม 1 ช้อนชา
3. น้ำปลา 3 ช้อนชา
4. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
5. น้ำมะนาว 3 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำ

1. ผลไม้ล้างปอกเปลือกให้สะอาด นำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ หลังหั่นแล้วควรเก็บในตู้เย็นเพื่อให้ผลไม้กรอบอร่อย
2. นำกระเทียม พริกขี้หนูโขลกรวมกันให้ละเอียด เติมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ
3. นำผลไม้ที่หั่นแล้ว ลงไปคลุกเคล้ากับน้ำส้มตำ ชิมรสชาติอีกครั้งตามชอบ
4. ตักใส่จานโรยด้วยกุ้งที่เตรียมไว้

คุณประโยชน์ของเมนูส้มตำผลไม้

ผลไม้ เป็นอาหารที่มีวิตามินซีสูง เส้นใยสูง และน้ำตาลจากผลไม้ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย
กุ้งต้ม ให้โปรตีนที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย (หากใช้กุ้งฝอยจะได้รับแคลเซียมด้วย)

เพื่อนๆ ค่ะ ส้มตำผลไม้ เป็นเมนูสุขภาพดีที่ทำได้ไม่ยากเลย นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนอีกด้วย  ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนไม่ควรอดอาหารนะคะ แต่สามารถทานผักหรือผลไม้อย่างเมนูนี้ได้ ทำให้อิ่มท้องไม่โหยเกินไปนัก พบกันใหม่บทความหน้าค่ะ จะเอาเมนูสุขภาพมาฝากอีกอันนึง ซึ่งดีต่อสุขภาพมากเช่นกัน

ข้อมูลอ้างอิง: "เมนูสุขภาพดี...ที่ Viva  ส้มตำผลไม้."Health Magazine 37C, 56(ตุลาคม-ธันวาคม2009).หน้า 23
รูปส้มตำผลไม้จาก : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=patchchoy&month=10-2008&date=21&group=16&gblog=5
รูปผลไม้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำจาก : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=thehappinest&month=05-2008&date=16&group=2&gblog=9

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำมันมะพร้าวช่วยลดน้ำหนัก

ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำมัน ใครๆ ก็กลัวว่าน่าจะทำให้อ้วน เพิ่มน้ำหนักมากกว่าจะช่วยลดน้ำหนักได้ แต่เพื่อนๆ คะ น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เป็นอย่างที่เรากลัวกัน สมัยก่อนตอนเราเรียนหนังสือจะเรียนมาว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่มีไขมันชนิดเลว เหมือนกับน้ำมันปาล์มหรือน้ำมันหมู ต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคเพราะจะทำให้มีโอกาสเป็นโรคทั้งโรคอ้วน โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด โรคหัวใจ ฯลฯ แต่ในยุคปัจจุบันน้ำมันมะพร้าวไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรือเรียนมาเหมือนเมื่อครั้งสมัยยังเด็ก ทั้งนี้มีรายงานการวิจัยทางวิชาการจากหลายแหล่งและการพิสูจน์จากผู้ใช้จริงในชีวิตประจำวันของผู้คนในประเทศที่ใช้ผลิตผลมะพร้าวเป็นหลักมายาวนาน เช่นชนชาวโพลีนีเชียนในหมู่เกาะทางแปซิฟิกและประชากรในประเทศแถบเอเชีย เช่น ศรีลังกา ที่ใช้มะพร้าวในการปรุงอาหารแต่กลับไม่ค่อยมีปัญหาโรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง รวมไปถึงภาวะเสื่อมต่างๆ ของร่างกาย มีตัวอย่างงานวิจัยในชนพื้นเมืองบนหมู่เกาะปุกาปุกาและโทเคเลาในเขตแปซิฟิกใต้ซึ่งกินมะพร้าวเป็นหลัก เช่น ดื่มน้ำมะพร้าว กินเนื้อมะพร้าว กินกะทิ น้ำมันมะพร้าวใช้ทอด มีน้ำตาลที่ทำจากมะพร้าว ชนชาวเกาะทั้งสองใช้มะพร้าวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่ไม่มีปัญหาสุขภาพอะไร แถมยังมีสุขภาพดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับมาตรฐานของฝรั่งชาติตะวันตก นอกจากนี้ชนชาวศรีลังกาที่ใช้น้ำมันมะพร้าวทำอาหาร ทำแกงกะหรี่กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ กลับมีอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจเพียงแค่ 1 ต่อแสนคนเท่านั้น

แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป วัฒนธรรมการกินแบบตะวันตกเริ่มแพร่หลายเข้าไปสู่ส่วนต่างๆ ของโลก ทุกคนหันมาบริโภคไขมันชนิดอื่นๆ อาทิ น้ำมันถั่วเหลืองที่ชาติตะวันตกพยายามโปรโมตว่าดีต่อสุขภาพ แต่ผู้คนกลับพากันเจ็บป่วยมากขึ้นด้วยโรคไขมันเลือดสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดตีบ ฯลฯ

ทำไมน้ำมันมะพร้าวซึ่งถูกตีตราว่าเป็นน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ไม่ดีต่อสุขภาพ กลับทำให้ชนชาวเกาะทั้งหลายมีสุขภาพดีได้ ทำไมชนชาวศรีลังกาที่ใช้น้ำมันมะพร้าวประกอบอาหารทุกวันจึงมีอัตราการเป็นโรคหัวใจเพียง 1 ต่อแสนคน ในขณะที่ชาวอเมริกันที่นำเสนอน้ำมันถั่วเหลืองว่าดีต่อสุขภาพยิ่งกว่าน้ำมันมะพร้าวจึงมีอัตราป่วยเป็นโรคหัวใจมากถึง 125 คน ต่อแสน

ในที่นี้จะพูดถึงเรื่องของความอ้วน ซึ่งในวงการลดน้ำหนักได้พยายามคิดสูตรลดน้ำหนักต่างๆ นานา มาเสนอผู้ที่อยากลดความอ้วน โดยมากมักเป็นสูตรอาหารที่มีมวลเยอะเพื่อเข้าไปจองพื้นที่ในกระเพาะ ช่วยไม่ให้หิว บางสูตรก็ประดิษฐ์อาหารคุมน้ำหนักสำเร็จรูปเป็นซองๆ บ้าง เป็นกระป๋องบ้าง ปรุงรสแบบต่างๆ ให้อร่อย สามารถเปิดกินได้ทันที น้ำมันมะพร้าวก็เข้ามามีบทบาทเรื่องนี้เช่นกัน เพราะน้ำมันมะพร้าวได้ชื่อว่าเป็น “น้ำมันแคลอรี่ต่ำ” และมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ แต่แม้จะได้ชื่อว่าแคลอรี่ต่ำก็ยังอยู่ที่ 8.6 แคลอรี่ ซึ่งก็ยังสูงกว่าแป้งและโปรตีนอยู่ดี แต่สาเหตุที่น้ำมันมะพร้าวช่วยลดน้ำหนักได้ก็เพราะเมื่อกินน้ำมันมะพร้าวร่วมกับอาหารอย่างเหมาะสม จะทำให้รู้สึกอิ่มท้อง ไม่ต้องกระวนกระวายอยากกินของจุบจิบ ซึ่งเป็นปกตินิสัยที่ไม่ค่อยดีของคนอ้วนทั้งหลายอยู่แล้ว

ตามปกติน้ำมันทุกชนิดในอาหารที่เรากินไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันทานตะวัน แม้กระทั่งน้ำมันมะกอก ล้วนเป็นกรดไขมันสายยาว แต่ในงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยแม็กกิล ประเทศแคนาดาพบว่า ถ้าเราใช้น้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นกรดไขมันสายกลางแทนน้ำมันชนิดอื่นๆ มาปรุงอาหารกินตลอดปี จะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 15 กก. ต่อปี  (St-Onge, M. and Jones, P.J.H. Physiological effects of medium-chain triglycerides: potential agents in the prevention of obesity. J of Nutr 2002; 132(3): 329-332.)

ดร.บรู๊ซ ไฟฟ์ สรุปไว้ในประเด็นนี้ว่าการกินน้ำมันมะพร้าวจะช่วยลดน้ำหนักได้ก็ต่อเมื่อคุณกินอาหารที่เหมาะสมและออกกำลังกายร่วมด้วย น้ำมันมะพร้าวจะเข้ามาเป็นตัวเสริมเพราะทำให้อิ่มและเร่งอัตราเผาผลาญนั่นเอง งานวิจัยของสกาฟี (Scalfi, L., et. Al. Postpandial thermogenesis in lean and obese subjects after meals supplemented with medium-chain and long-chain triglycerides, Am J Clin Nutr 1991; 53:1130-1133).  เขาศึกษาพลังงานที่ใช้ก่อนและหลังมื้ออาหารที่ใส่น้ำมันสายกลาง พบว่าในคนรูปร่างปกติเมื่อกินน้ำมันมะพร้าวแล้ว อัตราเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น 48%  ในขณะที่ในคนอ้วนพบว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยให้อัตราเผาผลาญเพิ่มขึ้น 65% เลยทีเดียว  นั่นแปลว่าคนอ้วนจะถูกกระตุ้นให้เผาผลาญอาหารได้เร็วขึ้นด้วยน้ำมันมะพร้าวมากกว่าคนผอม แต่จุดที่สำคัญกว่านั้นคือ ผลการเร่งอัตราเผาผลาญไม่ใช่เกิดขึ้นเพียง 1-2 ชั่วโมงหลังอาหารเท่านั้น หากแต่มันมีผลเพิ่มอัตราเผาผลาญได้นานถึง 24 ชั่วโมงด้วย (Dulloo, A.G. et al. Twenty-four-hour energy expenditure and urinary catecholamines of humans consuming low-to-moderate amount of medium-chain triglycerides: a dose-response study in a human respitory chamber. Eur J Clin Nutr 1996; 50(3):152-158)  ผลก็คือแม้จะกินน้ำมันมะพร้าวเข้าไปเพียงมื้อเดียว เราก็จะรู้สึกว่าร่างกายมีการเผาผลาญที่ให้พลังงานดีขึ้นตลอดทั้งวัน มีเรี่ยวแรงในการทำงานมากขึ้น

ปริมาณน้ำมันมะพร้าวที่ควรกินเพื่อให้ได้ผลในการลดน้ำหนัก คือ กินก่อนอาหารครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2-3 ครั้ง ตามสัดส่วนของน้ำหนักตัว การกินก่อนอาหารจะทำให้รู้สึกอิ่มท้อง

ตารางแนะนำปริมาณการกินน้ำมันมะพร้าวต่อวันเทียบกับน้ำหนักตัว
น้ำหนักตัว                                                 ช้อนโต๊ะต่อวัน

79 กก. หรือมากกว่า                                            4

68 กก.                                                                 3 1/2

57 กก.                                                                 3

45 กก.                                                                2 1/2

34 กก.                                                                2



จากตารางจะเห็นว่าเราแนะนำให้คนทั่วไปกินน้ำมันมะพร้าวประมาณ 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน และจะเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักตัวซึ่งกลับจะลดน้ำหนักหรือไขมันเลือด แต่ทั้งนี้เมื่อน้ำหนักลดลงแล้วต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินด้วย อย่ากินแต่แป้ง ข้าวขัดขาว อาหารขยะ นม รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนมวัว น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ ให้หันมากินข้าวกล้อง และผักผลไม้ให้มากขึ้น รวมทั้งหมั่นออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกินออกไปด้วย

เพื่อนๆ คะ น้ำมันมะพร้าวในที่นี้คือน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นค่ะ ซึ่งปัจจุบันมีผลิตและจำหน่ายกันค่อนข้างแพร่หลายแล้ว สามารถหาซื้อมาบริโภคหรือใช้กันไม่ยากค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : นพ. บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล และ ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา. น้ำมันมะพร้าวรักษาโรค. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ. รวมทรรศน์, 2551

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ติดตามผล



สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ คะ เป็นอย่างไรบ้างได้ทดลองทำสมาธิกันตามวิธีการที่ได้เขียนไว้ไม๊คะ พิจารณาซากศพ หรือ มรณานุสติ ได้ลองทำดูบ้างไม๊คะ ใครทำได้ประสบการณ์อย่างไรก็เข้ามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ เว็บไซต์ http://happylife-happydoing.blogspot.com เพิ่งทำการเผยแพร่เมื่อไม่นาน อย่าให้ Happy Admin ต้องหงอยเหงาเดียวดายนะจ๊ะ เข้ามาติดตามอ่านข้อมูลดีๆ มีประโยชน์กันที่นี่และร่วมกันแชร์ความรู้สึก ความคิดเห็นมาด้วยนะคะ

พบกันใหม่ สำหรับคราวหน้าจะเป็นบทความเพื่อสุขภาพเรื่องอื่นแล้วที่ไม่ใช่เรื่องสมาธิ ต้องเปลี่ยนอรรถรสบ้างค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวเพื่อนๆ อ่านแล้วไปทำสมาธิกันจนลืมทางโลกไปหมด 555...

Happy Admin

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

เพื่อนๆ คะ...การปฏิบัติสมาธิตามแนวทางพุทธศาสนามีถึง 40 วิธีหลักๆ ค่ะ

Happy Admin เคยได้ถามครูบาอาจารย์ถึงวิธีการปฏิบัติสมาธิตามแนวทางพุทธศาสนานั้นอาจมีแยกย่อยมากกว่า 40 วิธีเสียอีก แต่ที่ส่วนใหญ่นำมาสอนกันนั้นจะสรุปรวมอยู่ใน 40 วิธีหลักๆ หรือที่บางตำราเรียกว่าการปฏิบัติกรรมฐานมี 40 กองนั่นเอง กรรมฐาน หมายถึงที่ตั้งแห่งการงาน อารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ อุบายทางใจ มี 2 แนวทางคือ

1. สมถกรรมฐาน หมายถึงงานฝึกจิตให้สงบ หรืออุบายสงบใจมี 40 วิธี มีวัตถุประสงค์คือ ทำให้จิตสงบ ระงับจากกิเลสที่เรียกว่านิวรณ์ 5 อันเป็นกิเลสที่กั้นจิตใจจากความดี
2. วิปัสสนากรรมฐาน หมายถึงอุบายเรืองปัญญา เป็นการฝึกอบรมปัญญาให้รู้แจ้งเห็นชัดเห็นจริงเห็นตรงต่อสภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายว่ามีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้นเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งตรงต่อความเป็นจริง จนสามารถถอนความหลงผิดยึดติดในสิ่งทั้งหลายได้ การเวียนว่ายตายเกิดจะได้สั้นเข้าและจบสิ้นในที่สุด

กรรมฐาน 40 กองมีอะไรบ้าง

ก. กสิณ 10

กสิณ หมายถึง วัตถุอันจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ ทำให้คุมใจได้มั่น จิตใจไม่ฟุ้งซ่านซัดส่าย การเจริญกสิณ 10 มี 10 อย่างคือ

1. ปฐวีกสิณ = กสิณดิน
2. อาโปกสิณ = กสิณน้ำ
3. เตโชกสิณ = กสิณไฟ
4. วาโยกสิณ = กสิณลม
5. นีลกสิณ = กสิณสีเขียว
6. ปิตกสิณ = กสิณสีเหลือง
7. โลหิตกสิณ = กสิณสีแดง
8. โอทาตกสิณ = กสิณสีขาว
9. อาโลกกสิณ = กสิณแสงสว่าง, แสงไฟ
10.อากาสกสิณ = กสิณที่ว่าง, อากาศ

ข. อสุภ 10

อสุภ หมายถึงไม่สวยงาม มุ่งหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของคนที่ตายไป การเจริญอสุภกรรมฐานคือการพิจารณาซากศพในลักษณะต่างๆ กัน 10 ลักษณะ ให้เห็นความน่าเกลียดไม่สวยงาม ได้แก่

1. ซากศพที่ขึ้นอืดพอง
2. ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ
3. ซากศพที่มีน้ำเหลืองแตกปริ
4. ซากศพที่ถูกฟันขาดออกจากกันเป็น 2 ท่อน
5. ซากศพที่ถูกสัตว์ เช่น สุนัข กา แร้ง ทึ้งแย่ง
6. ซากศพที่กระจายเรี่ยราด ศรีษะ มือ เท้า อยู่คนละทาง
7. ซากศพที่ถูกสับฟันด้วยมีด ถูกแทงด้วยหอก
8. ซากศพที่มีเลือดไหลอาบ
9. ซากศพที่มีหนอนไชอยู่ทั่วร่าง
10.ซากศพที่เหลือแต่กระดูก

ค. อนุสติ 10

อนุสติ คือการระลึกถึงอยู่เนืองๆ เสมอๆ มีสติระลึกถึง มี 10 อย่างคือ

1. พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
2. ธัมมานุสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรมเป็นอารมณ์
3. สังฆานุสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์
4. สีลานุสติ ระลึกถึงศีลที่ตนรักษาเป็นอารมณ์
5. จาคานุสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคเป็นอารมณ์
6. เทวตานุสติ ระลึกถึงคุณธรรมของเทวดาเป็นอารมณ์
7. อุปสมานุสติ ระลึกถึงคุณของพระนิพพานเป็นอารมณ์
8. มรณสติ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
9. กายคตาสติ ระลึกถึงลักษณะอาการของกายส่วนต่างๆ เป็นอารมณ์
10.อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์

ง. พรหมวิหาร 4

พรหมวิหาร หมายถึง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม คือคุณธรรมที่ทำให้เป็นพรหม หรือคุณธรรมที่พรหมมีอยู่ ได้แก่

1. เมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
2. กรุณา คือความสงสาร ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
3. มุทิตา คือความพลอยยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข
4. อุเบกขา คือ ความวางเฉย ทำใจเป็นกลาง ไม่ยินดียินร้าย ไม่ดีใจเสียใจเมื่อได้พิจารณาแล้วเห็นว่าผลที่เกิดขึ้นหรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสมควรแก่เหตุ

จ.อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือการพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร กำหนดหมายว่าอาหารที่บริโภคเป็นสิ่งปฏิกูล เพื่อจะได้ไม่ยินดีในรสอาหาร บริโภคเพียงเพื่อดำรงชีวิตอยู่

ฉ. จตุธาตุวัฏฐาน
บางครั้งเรียกธาตุกรรมฐาน เป็นการกำหนดรู้ธาตุ 4 ภายในกายของเรา คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม พิจารณากายสักแต่ว่าเป็นธาตุ พิจารณาจนไม่เห็นความเป็นสัตว์ บุคคล หญิง ชาย เรา เขา

ช. อรูปกรรมฐาน 4
เป็นกรรมฐานที่ต้องได้รูปฌาน 4 ก่อนจึงจะปฏิบัติได้ จึงไม่ใช่กรรมฐานสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่ได้ฌานจะปฏิบัติได้ อรูปกรรมฐาน 4 ได้แก่

1. อากาสานัญจายตนะ กำหนดช่องว่างหรืออากาศหาที่สุดไม่ได้เป็นอารมณ์
2. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดไม่ได้เป็นอารมณ์
3. อากิญจัญญายตนะ กำหนดภาวะไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์
4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่

เพื่อนๆ คะ 40 วิธีหรือ 40 กองเยอะแยะไปหมด ในที่นี้ Happy Admin ขอนำเสนอเพื่ออธิบายรายละเอียดวิธีการปฏิบัติอันเป็นวิธีที่เพื่อนๆ น่าจะได้ยินหรือคุ้นเคยในการปฏิบัติอยู่บ้างแล้ว นั่นคือ อานาปานสติ ซึ่งเป็นกรรมฐานในหมวดของอนุสติ 10 นะคะและน่าจะถือได้ว่าเป็นกรรมฐานพื้นฐานที่ส่งเสริมให้การปฏิบัติวิธีอื่นได้ผลดีหรือสำเร็จเร็วขึ้นก็ว่าได้
อานาปานสติ หมายถึงสติที่เกิดขึ้นโดยมีการระลึกอยู่ในลมหายใจเข้าออก อานาปานสติ เป็นกรรมฐานในหมวดอนุสติ 10 และเป็นสติปัฏฐานด้วย การเจริญอานาปานสติจึงเป็นไปได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา

วิธีการเจริญอานาปานสติ

การเจริญอานาปานสติ หากจะให้จิตสงบถึงระดับฌานต้องหาสถานที่ที่สงบสงัด ให้นั่งคู้บัลลังก์หรือนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรงอย่าค้อมมาข้างหน้าหรือแอ่นไปข้างหลัง เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วหัวแม่มือจรดกัน การนั่งในท่านี้มีผลดีคือทำให้ตัวตรง เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลมหายใจเดินสะดวก นิ่งได้นาน สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ทำให้ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้ จะนั่งห้อยเท้า นั่งบนเก้าอี้ก็ได้ ให้เลือกเอาอิริยาบถที่นั่งได้สบายพอดี ผ่อนคลาย ไม่ฝืนเกินไป และเป็นท่านั่งที่ทำให้นั่งได้นาน เมื่อนั่งไปเรียบร้อยแล้วให้หลับตาลงเบาๆ อย่าแกร่ง หายใจยาวๆ ลึกๆ ช้าๆ ที่เรียกว่าหายใจให้เต็มปอด ให้จิตใจโปร่งสบาย คอยกำหนดลมหายใจเข้าออกให้รู้ชัด รู้สึกตัวตลอดอย่าหลงลืมหรือเผลอสติ เมื่อหายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจเข้าออกยาวก็รู้ว่าหายใจเข้าออกยาว หายใจเข้าออกสั้นก็ให้รู้ว่าหายใจเข้าออกสั้น การกำหนดลมหายใจเข้าออกนี้ให้นับไปด้วยจะได้ไม่เผลอสติหรือลืมกำหนด

ก. การนับ แบ่งออกเป็น 2 ตอนคือ
1. ช่วงแรกๆ ให้นับช้าๆ อย่านับต่ำกว่า 5 และอย่านับให้เกิน 10 โดยนับเป็นคู่ๆ คือ

ลมออกนับ 1 ลมเข้านับ 1
ลมออกนับ 2 ลมเข้านับ 2
ลมออกนับ 3 ลมเข้านับ 3

ให้นับเช่นนี้จนถึง 5,5 แล้วตั้งต้นใหม่จนถึง 6,6 ย้อนนับตั้งแต่ต้นใหม่ถึง 7,7 จนถึง 10,10 แล้วย้อนมาที่ 5,5 ใหม่ดังนี้

1,1 2,2 3,3 4,4 5,5
1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6
1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 7,7
1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 7,7 8,8
1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 7,7 8,8 9,9
1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 7,7 8,8 9,9 10,10
1,1 2,2 3,3 4,4 5,5

2. ช่วงหลังให้นับเร็วขึ้น เมื่อลมหายใจชัดเจนแล้วให้เปลี่ยนจากนับช้าๆ มานับให้เร็วขึ้น ไม่ต้องเอาสติตามลมเข้าลมออก ให้เอาสติกำหนดการกระทบของลมที่ปลายจมูกหรือริมฝีปากบน แล้วแต่ว่าจะรู้สึกชัดเจนที่ไหน การนับไม่ต้องนับเป็นคู่ ให้นับ 1 ถึง 5 เลย แล้วเพิ่ม 1 ถึง 6 จน 1 ถึง 10 แล้วย้อนกลับมา 1 ถึง 5 ใหม่จนสติแน่วแน่

1,2,3,4,5
1,2,3,4,5,6
1,2,3,4,5,6,7
1,2,3,4,5,6,7,8
1,2,3,4,5,6,7,8,9
1,2,3,4,5,6,7,8,9,10
1,2,3,4,5,

ข. การติดตาม เมื่อสติอยู่กับลมหายใจแล้วไม่ต้องนับลมอีก แต่ดูให้การกระทบต่อจุดกระทบคือปลายจมูกหรือริมฝีปากบน ไม่ต้องตามลมเข้าลมออก จดจ่ออยู่เพียงจุดกระทบของลม เมื่อลมหายใจละเอียดเข้าๆ ความกระวนกระวาย ความเครียดก็สงบลงไป จิตจะเบา กายก็เบา เมื่อปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ลมก็จะยิ่งละเอียดขึ้นๆ ๆ จนเหมือนลมหายไปไม่รู้สึกถึงลมกระทบเลย

สำหรับใครที่ปฏิบัติอานาปานสติอยู่แล้วแต่ไม่ได้เน้นการนับ ใช้การภาวนาพุทโธก็ดี สัมมาอรหังก็ดี ฯลฯ ควบคู่กับการดูลมหายใจถือเป็นการทำกรรมฐานทั้งอานาปานสติและพุทธานุสติไปด้วยในตัว อีกทั้งการปฏิบัติด้วยการเดินหรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า เดินจงกรม แล้วดูลมหายใจไปด้วย ภาวนาไปด้วย จัดเป็นวิธีการปฏิบัติที่ดีอย่างนึงแถมช่วยผ่อนคลายความเมื่อยจากอิริยาบถนั่งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

อานาปานสติเป็นกรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญและทรงปฏิบัติอยู่เสมอ เป็นบาทฐานไปสู่วิปัสสนา เป็นกรรมฐานที่ไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์มาปฏิบัติ ต่างจากกรรมฐานอื่น เช่น กสิณ อสุภกรรมฐาน ที่ต้องหาอุปกรณ์จัดเตรียมการ เพราะอานาปานสติใช้เพียงลมหายใจที่มีอยู่แล้วกับตัวเรา และเป็นกรรมฐานที่ปฏิบัติแล้วเบาสบายปลอดโปร่ง ได้พักสมองพักกาย ไม่ต้องใช้สายตาเพ่งแบบกสิณ ไม่ต้องเครียด และเมื่อปฏิบัติไปจนลมหายใจละเอียด ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง ได้พักผ่อนเหมือนกับการได้นอนหลับ ช่วยให้ทำงานได้มากขึ้นโดยไม่พักผ่อนมาก งานก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรข้ามไปจากบทความนี้ คือการเลือกกรรมฐานให้เหมาะกับจริตค่ะ เราต้องพิจารณาว่าอุปนิสัยของเราโน้มเอียงหรือหนักไปในทางใด มีหลักพิจารณาดังต่อไปนี้

1. คนราคจริต นิสัยหนักไปทางราคะ รักสวยรักงาม รักสะอาด พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว การบริโภคอาหารที่ดีๆ ทำการใดก็ทำอย่างมีระเบียบเรียบร้อยสวยงาม
- กรรมฐานที่ถูกกับอุปนิสัย คือ อสุภ 10 (พิจารณาซากศพ) และ กายคตาสติ (พิจารณากาย พิจารณาอาการ 32 ของกาย)

2. คนโทสจริต นิสัยหนักไปทางโทสะ ใจร้อนหงุดหงิด อารมณ์รุนแรง ทำการงานสะอาดแต่ไม่เรียบร้อย ตึงตังโครมคราม รับประทานอาหารเร็ว เดินเร็ว ฝีเท้าหนัก ชอบวิวาท
- กรรมฐานที่ถูกกับอุปนิสัย คือ พรหมวิหาร 4 กสิณสี 4 กลุ่ม (กสิณสีแดง กสิณสีขาว กสิณสีเขียว และกสิณสีเหลือง)

3. คนโมหจริต นิสัยหนักไปทางโมหะ ค่อนข้างเขลา เชื่อง่ายงมงาย เซื่องซึมไม่กระปรี้กระเปร่า เหม่อลอย ท้อถอย ไม่เข้มแข็ง ทำงานใดก็ทำอย่างหยาบๆ ไม่สะอาด ไม่เรียบร้อย ชอบเผลอสติ
- กรรมฐานที่ถูกกับอุปนิสัย คือ อานาปานสติ (การดูลมหายใจเข้าออก)

4. คนสัทธาจริต นิสัยหนักไปในทางศรัทธา น้อมใจเลื่อมใสได้ง่าย ไม่มีมารยา
- กรรมฐานที่ถูกกับอุปนิสัย คือ อนุสติ 6 (พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ และเทวตานุสติ)

5. คนพุทธิจริต นิสัยหนักไปในทางชอบใช้เหตุผล สติปัญญา ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ชอบศึกษา ครุ่นคิด
- กรรมฐานที่ถูกกับอุปนิสัย คือ มรณานุสติ อุปสมานุสติ จตุธาตุวัฏฐาน และอาหาเรปฏิกูลสัญญา

6. คนวิตกจริต นิสัยหนักไปในทางวิตกกังวล ย้ำคิด ฟุ้งซ่าน วาดวิมานในอากาศ กลัวไปล่วงหน้าทั้งที่เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น
- กรรมฐานที่ถูกกับอุปนิสัย คือ อานาปานสติ

ส่วนปฐวีกสิณ อาโปกสิณ เตโชกสิณ และ วาโยกสิณ และอรูปฌาน 4 เหมาะกับคนทุกจริต เมื่อเลือกเจริญสมาธิหรือปฏิบัติกรรมฐานแบบใดแล้วเห็นว่าเหมาะกับจริตของตนเอง ก็ไม่ควรโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำวิธีโน้นบ้าง ทำวิธีนี้บ้าง จนท้ายที่สุดสมาธิไม่ตั้งมั่นไม่เป็นเรื่องเป็นราว เมื่อได้วิธีการที่เหมาะกับจริตนิสัยของเราแล้วก็ควรตั้งใจปฏิบัติไปจนถึงที่สุดแห่งวิธีการหรือสมาธินั้นๆ


ส่วนเพื่อนๆ ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ก็คงจะมีวิธีปฏิบัติสมาธิตามแนวทางของศาสนาอื่นอยู่แล้ว ทั้งการสวดมนต์ก็ดี การร่วมกันทำจิตใจให้สงบ และการร่วมร้องเพลงของศาสนานั้นก็ดี ทำให้เราได้ปฏิบัติสมาธิไปในตัวและยังได้ความเพลิดเพลินผ่อนคลายอีกด้วย ไม่ว่าเราจะใช้วิธีการใดหรือของศาสนาใดก็ตาม สำคัญอยู่ที่เราได้ทำได้ปฏิบัติจริงและทำอย่างสม่ำเสมอค่ะ นอกจากจะได้บุญกุศลแล้วยังทำให้เราคลายเครียด มีความสุข สังคมก็จะมีสันติสุขไปด้วยค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:ผศ.ดร.นฤมล มารคแมน.การเจริญสมาธิตามแนวทางพุทธศาสนา.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง,พศ.2544

ได้เริ่มทำสมาธิเพื่อการผ่อนคลายกันบ้างแล้วหรือยัง ?



สวัสดีค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ ได้เริ่มทำสมาธิเพื่อการผ่อนคลายกันบ้างแล้วหรือยัง วันนี้ Happy Admin แวะเข้ามาดึกมากแล้วต้องไปก่อนค่ะ อย่าลืมทำต่อนะคะคืนนี้ บ๊าย...บาย แล้วจะเข้ามาคุยกันใหม่นะคะ

ทำเลยนะคะ ...คืนนี้...คืนนี้...

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

มาทำสมาธิเพื่อคลายเครียด ทำให้จิตนุ่มนวลควรแก่งานกันเถอะ...

ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงเข้าพรรษา หลายๆ คนก็จะเน้นทำบุญทำความดีต่างๆ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีในการดำเนินชีวิต เพื่อนๆ คะ การทำบุญนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสบายใจได้ ยิ่งการทำบุญด้วยการทำสมาธิ ยิ่งช่วยคลายเครียด คลายจากความทุกข์ทั้งกายและใจได้ลองอ่านข้อมูลนี้ดูนะคะ เผื่อว่าจะมีเพื่อนๆ ท่านใดมีงานยุ่งมากหรือมีความเครียดอะไรอยู่จะได้หันมาปฏิบัติสมาธิดูบ้างนะคะ นอกจากจะได้บุญกุศลแล้วยังช่วยให้คลายเครียดและจิตใจเป็นสุขขึ้นค่ะ

สมาธิ คือการที่จิตตั้งมั่น สงบ แน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ซัดส่าย ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ภายนอกที่มากระทบ เป็นการกำหนดจิตแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงเรื่องเดียวไม่ให้ฟุ้งซ่านไปเป็นอื่น สมาธิจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีในการทำงานทุกอย่าง แต่การที่จะเกิดสมาธิขึ้นได้นี้ต้องมีการฝึกหัด สมาธิธรรมดาที่มีอยู่นั้นไม่พอเพียงเพราะบางครั้งเมื่อมีเรื่องหรือปัญหาภายนอกมากระทบใจ จิตใจของเราอ่อนแอ หวั่นไหว กระสับกระส่าย ก็ยากจะรวมใจรวมสมาธิมาจดจ่อกับการงานได้ บางครั้งเกิดอารมณ์โกรธ อารมณ์รัก อารมณ์หลง จนรวมใจไม่ได้ ปล่อยใจให้เพริดไปกับอารมณ์เหล่านั้นทำการงานไม่ได้เป็นสัปดาห์เป็นเดือนก็มี คนที่มีสมาธิ มีจิตสงบตั้งมั่นดี ก็คือคนที่มีสุขภาพจิตดี สามารถควบคุมให้ใจมาจดจ่อกับสิ่งที่ตนต้องการได้ ไม่หวั่นไหวง่ายๆ เปรียบคนมีสมาธิกับคนที่มีร่างกายแข็งแรง รักษาสุขภาพอย่างดี เมื่อมีเชื้อโรคหรือโรคภัยใดๆ มาเบียดเบียน คนแข็งแรงสมบูรณ์ย่อมจะไม่ล้มเจ็บลงโดยง่าย ยังสามารถทำงานทำหน้าที่ได้ต่อไป คนมีสมาธิตั้งมั่น เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบ (ซึ่งมีมาประจำทุกวันอยู่แล้วในชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นเสียงรบกวน หรือเรื่องราวต่างๆ) ก็ยังคงทำงานได้โดยจิตใจไม่กระสับกระส่าย หรือพลุ่งพล่านไปตามสิ่งที่มากระทบนั้น นอกจากนี้คนที่ฝึกหัดสมาธิก็เปรียบกับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ การฝึกหัดสมาธิจึงฝึกเพื่อแก้อารมณ์และกิเลสของใจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเป็นการฝึกใจให้มีพลังของสมาธิมากขึ้น คนที่ฝึกสมาธิมาแล้วตามสมควร เมื่อเกิดอารมณ์และกิเลสต่างๆ ก็จะระงับใจได้ไม่ลุแก่อำนาจของอารมณ์และกิเลส ทำให้ทำงานต่อไปได้ ทั้งจิตใจก็จะตั้งมั่นมากขึ้น เมื่อประกอบภารกิจใดๆ จิตใจจะจดจ่อกับงานมีพลังในการทำงานมากขึ้น

ลักษณะและอาการของจิตที่เป็นสมาธิ

จิตที่เป็นสมาธิ คือจิตที่มีคุณภาพดี มีสมรรถภาพสูง จะมีลักษณะดังนี้
1. แข็งแรง มีพลังมาก ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนกระแสน้ำที่ถูกควบคุมให้ไหลพุ่งไปในทิศทางเดียว ย่อมมีกำลังแรงกว่าน้ำที่ถูกปล่อยให้ไหลพร่ากระจายออกไป
2. ราบเรียบ สงบซึ้ง เหมือนสระหรือบึงใหญ่ที่มีน้ำนิ่ง ไม่มีลมพัดต้องไม่มีสิ่งรบกวนให้กระเพื่อมไหว
3. ใส กระจ่าง มองเห็นอะไรๆ ได้ชัด เหมือนน้ำสงบนิ่ง ไม่เป็นริ้วคลื่นและฝุ่นละอองที่มีก็ตกตะกอนนอนก้นหมด
4. นุ่มนวล ควรแก่งาน หรือเหมาะแก่การใช้งานเพราะไม่เครียด ไม่กระด้าง ไม่วุ่น ไม่ขุ่นมัว ไม่สับสน ไม่เร่าร้อน ไม่กระวนกระวาย

ประโยชน์ของสมาธิ

ในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนมีความเครียด มีความวิตกกังวลกันมาก โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ที่สับสนและต้องแข่งกับเวลา มีผู้คนจำนวนไม่น้อยพยายามหาทางคลายความเครียด คลายความวิตกกังวลโดยการเจริญสมาธิ สมาธิมีประโยชน์ทำให้จิตใจสงบนิ่ง ไม่สับสน ไม่กังวล ได้อย่างแท้จริง เมื่อจิตสงบไม่กังวลก็ไม่เครียด และสามารถใช้ความสงบของจิตในการพิจารณาแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างดีอีกด้วย แต่สมาธิไม่ได้มีประโยชน์เพียงเพื่อคลายความเครียด ความวิตกกังวลเท่านั้น ยังมีประโยชน์อีกมากมายหลายประการ ที่สำคัญที่สุดคือ สมาธิ หรือสัมมาสมาธิ เป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นองค์หนึ่งในอริยมรรคมีองค์แปด พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า "สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร (การอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน) สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อการได้ญาณทัสสนะ สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย"
ข้อความดังกล่าว แสดงว่าสมาธิภาวนาทำให้อยู่เป็นสุข นำไปสู่การได้ปัญญาเห็นแจ้ง นำไปสู่ความมีสติสัมปชัญญะ และนำไปสู่การประหารกิเลสให้หมดไปในที่สุด

พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) ได้รวบรวมประโยชน์ของสมาธิไว้ 4 ประการ จึงนำมาแสดง (สรุป)ในที่นี้คือ

ก. ประโยชน์ที่เป็นจุดหมายหรือเป็นอุดมคติทางศาสนา คือสมาธิเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ทั้งปวง
1. ประโยชน์ที่ตรงแท้ของข้อนี้คือ สมาธิเป็นบาทหรือเป็นพื้นแห่งวิปัสสนา (การเตรียมจิตให้พร้อมที่จะใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นให้รู้แจ้งสภาวะธรรมของความเป็นจริง) ซึ่งจะนำไปสู่พระนิพพานได้ในที่สุด
2. ประโยชน์ที่รองลงมา คือทำให้จิตหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสชั่วคราวด้วยการกด การข่ม และทับ นิวรณ์ 5 ไว้ได้ตลอดเวลาที่ยังอยู่สมาธิ

ข. ประโยชน์ในด้านการสร้างความสามารถพิเศษเหนือสามัญวิสัย หรือเรียกว่าประโยชน์ในด้านอภิญญา

ค. ประโยชน์ในด้านสุขภาพจิตและการพัฒนาบุคคลิกภาพ เช่นทำให้เป็นผู้มีจิตใจและบุคคลิกลักษณะเข้มแข็ง หนักแน่น มั่นคง สงบ เยือกเย็น สุภาพ นิ่มนวล สดชื่น ผ่องใส กระฉับกระเฉง เบิกบาน งามสง่า มีเมตตากรุณา มองดูรู้จักตนเองและผู้อื่นตามความเป็นจริง (ตรงข้ามกับลักษณะของคนมีนิวรณ์ เช่น อ่อนไหว ติดใจ หลงใหลง่าย หยาบกระด้าง ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด หงุดหงิด วู่วาม วุ่นวาย จุ้นจ้าน สอดแส่ ลุกลี้ลุกลน หรือหงอยเหงา เศร้าซึม ขี้หวาด ขี้ระแวง ลังเล) เตรียมจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมและง่ายแก่การปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ และเสริมสร้างนิสัยที่ดี รู้จักทำใจให้สงบและสะกดยั้งผ่อนเบาความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจได้ เรียกอย่างสมัยใหม่ว่า มีความมั่นคงทางอารมณ์และมีภูมิคุ้มกันโรคทางจิต...

ง. ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น
1. ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายความเครียด เกิดความสงบหายกระวนกระวาย ยั้งหยุดจากความกลัดกลุ้มวิตกกังวล เป็นเครื่องพักผ่อนกาย ให้ใจสบายและมีความสุข
2. เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน การเล่าเรียนและการทำกิจทุกอย่าง เพราะจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่กำลังกระทำ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก ไม่เลื่อนลอย ย่อมช่วยให้เรียนให้คิด ให้ทำงานได้ผลดี การงานก็เป็นไปโดยรอบคอบ ไม่ผิดพลาดและป้องกันอุบัติเหตุได้ดี เพราะเมื่อมีสมาธิก็ย่อมมีสติกำกับอยู่ด้วย นั่นคือ จิตควรแก่งานหรือเหมาะแก่การใช้งาน
3. ช่วยเสริมสุขภาพกายและใช้แก้ไขโรคได้ ร่างกายกับจิตใจอาศัยกันและมีอิทธิพลต่อกัน ปุถุชนทั่วไปเมื่อกายไม่สบายจิตใจก็พลอยอ่อนแอเศร้าหมอง ขุ่นมัว ครั้นเสียใจไม่มีกำลังใจ ก็ยิ่งซ้ำให้โรคทางกายนั้นทรุดหนักลงไปอีก แม้ในเวลาที่ร่างกายเป็นปกติ พอประสบเรื่องราวให้เศร้าใจเสียใจรุนแรง ก็ล้มป่วยเจ็บไข้ไปได้ ส่วนผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งสมบูรณ์ (โดยเฉพาะท่านที่มีจิตหลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว) เมื่อเจ็บป่วยกายก็ไม่สบายอยู่แค่กายเท่านั้น จิตใจไม่พลอยป่วยไปด้วย ยิ่งกว่านั้นกลับใช้ใจที่สบายมีกำลังจิตเข้มแข็งนั้นหันกลับมาส่งอิทธิพลบรรเทาหรือผ่อนเบาโรคทางกายได้อีกด้วย อาจทำให้โรคหายง่ายและไวขึ้น หรือแม้แต่ใช้กำลังสมาธิระงับทุกขเวทนาทางกายไว้ก็ได้ ผู้มีจิตใจผ่องใสเบิกบาน ย่อมช่วยให้กายเอิบอิ่มผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายดีเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว

เมื่อเพื่อนๆ อ่านจบแล้วจะเห็นว่าสมาธินั้นมีประโยชน์มากเลยนะคะ เรามาเริ่มทำกันไม่ผลัดวันประกันพรุ่งดีกว่าค่ะ เริ่มเลยค่ะ ตั้งแต่การมีสมาธิในการทำภารกิจต่างๆ ในชีวิตประจำวัน มีสติรู้อยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ กลับถึงบ้านค่ำนี้ก่อนนอนก็ทำกันซะหน่อย และตอนเช้าตื่นขึ้นมาก่อนไปทำงานก็ทำอีกครั้งนึงเพื่อเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับวันใหม่ ต่อไป Happy Admin จะนำข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำสมาธิมาให้อ่านเพิ่มเติมค่ะ เพื่อเพื่อนๆ จะได้เลือกทำตามความถนัดและชอบวิธีใดก็ใช้วิธีที่เราชอบ จะได้ทำสมาธิแล้วมีความสุขและทำได้ระยะยาวค่ะ อ้าว...เริ่มทำกันเลยนะคะ แล้วก็ใครทำได้ยังไงไปถึงไหนแล้วก็ส่งข่าวมาบอก Happy Admin กันบ้างนะคะ เพื่อเราจะได้เป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกัน

ข้อมูล: ผศ.ดร.นฤมล มารคแมน.การเจริญสมาธิตามแนวทางพุทธศาสนา.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง,พศ.2544

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เลี้ยงลูกอย่างไร? ไม่ให้เป็น "โรคเอาแต่ใจตัวเอง"



เชื่อว่าหลายบ้าน คงต้องปวดเศียรเวียนเกล้า เมื่อต้องพาเจ้าตัวเล็กออกไปนอกบ้าน โดยเฉพาะศูนย์การค้า ที่พอเดินผ่านของเล่น หรือของถูกใจ เป็นอันต้องร้องกรี๊ด ชักดิ้นชักงอลงกับพื้น เพราะพ่อแม่ไม่ยอมซื้อให้ ถือเป็นภาพสะท้อนการเลี้ยงลูกของครอบครัวไทย ที่เกิดจากการตามใจจนเกินเหตุ ส่งผลให้เด็กติดนิสัยเอาแต่ใจ ขี้วีน ก้าวร้าว และไม่มีเหตุผล

ปัญหาข้างต้น ทำเอาพ่อแม่ส่วนหนึ่งหนักใจไม่น้อย "รศ.นพ.ศิริไชย หงส์สงวนศรี" จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายให้ฟังถึงอาการเอาแต่ใจของเด็กว่า มีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ คือ ระดับปกติ (เหมือนกับเด็กทั่วไป) ระดับมีปัญหาเล็กน้อย และระดับที่มีปัญหารุนแรง (ป่วยเป็นโรค) ซึ่งระดับที่ 3 นี้ จิตแพทย์ทั่วโลกจะมีเกณฑ์การวินิจฉัยว่า เป็นโรค Oppositional Defiant Disorder หรือ "โรคเอาแต่ใจ" ส่วนใหญ่พบในเด็ก 3 ขวบขึ้นไป และเกิดในเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คิดเป็นสัดส่วน 9:1

"เด็กที่เป็นโรคเอาแต่ใจ จะมีอาการดื้อต่อต้านอย่างรุนแรง ทำอะไรก็หงุดหงิด โมโหง่าย ต่อต้านทุกอย่าง พ่อแม่พูดอะไรก็ไม่ฟัง บางครั้งก็อาละวาด หมายปองเจตนาร้าย รังแกผู้อื่น ทำลายข้าวของในบ้าน หากว่าเด็กคนไหนที่มีอาการดังกล่าวอย่างน้อย 4 ข้อ ในระยะเวลานาน 6 เดือน ถือว่าป่วยเป็นโรคเอาแต่ใจแล้ว" จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่นกล่าว

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ลูกเป็นโรคเอาแต่ใจนั้น จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น บอกว่า เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งทางด้านชีวภาพ เช่น บางคนเลี้ยงง่าย บางคนเลี้ยงยาก ซึ่งเกิดจากสมองส่วนหน้าที่ควบคุม ยับยั้งอารมณ์ และพฤติกรรมทำงานผิดปกติ จึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และปัจจัยด้านการเลี้ยงดู ที่ทำให้สภาวะจิตใจของเด็ก แสดงพฤติกรรมต่อต้าน ดื้อ และก้าวร้าว โดยเฉพาะพ่อแม่ยุคใหม่ ที่ยังขาดทักษะ และแนวคิดที่ถูกต้องในการเลี้ยงลูก กลัวว่า ถ้าขัดใจ จะทำให้ลูกเครียด หงุดหงิด ก้าวร้าว ตลอดจนการใช้ความรุนแรง ทำให้เด็กมีนิสัยก้าวร้าว เอาแต่ใจ

"พ่อแม่ส่วนใหญ่มีเวลาให้กับลูกลดลง ความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่จะต้องอาศัยความใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็ก 2-3 ขวบ พ่อแม่บางคนคิดว่าลูกยังรับรู้ และจดจำได้ไม่ดี จึงมองข้ามช่วงเวลานี้ไป ปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์ตามลำพัง ให้เล่นกับพี่เลี้ยง ตรงนี้เป็นการใช้เวลาอยู่ด้วยกันแค่ตัว แต่ใจไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรือบางคนชดเชยด้วยสิ่งของ ทำให้เด็กคิดว่าความรักคือสิ่งของที่ได้มา พอวันหลังอยากได้ความรัก ก็จะเรียกร้องเอาสิ่งของ ส่งผลให้ความมั่นคงทางอารมณ์ของเด็กตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเอาใจแต่ได้" จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่นเผย

ทางที่ดี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น แนะนำว่า พ่อแม่ต้องหาสาเหตุของการเกิดโรคก่อน เช่น การกิน พ่อ แม่จะมีปัญหาในเรื่องนี้มาก ช่วงปีแรกเด็กจะสามารถกินได้มาก แต่พอเริ่มเข้าปี 2-3 เด็กจะกินได้น้อยลงเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ บังคับให้ลูกกิน กลัวลูกหิว ก็จะตามป้อนข้าวอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นการเลี้ยงลูกที่ไม่ได้ดูความต้องการของลูกเลย ซึ่งมันทำให้เด็กหงุดหงิด ส่งผลให้มีอาการดื้อเงียบ

"พ่อแม่จะต้องใช้ความพยายามในการสังเกตความต้องการของลูก ทั้งด้านกายภาพ และด้านจิตใจ ด้วยการสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้เกิดความผูกพันระหว่างกันและกัน สร้างเวลาคุณภาพ ที่พ่อแม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับลูก รวมทั้งเน้นกิจกรรมร่วมกัน ที่สำคัญฝึกใช้เหตุผลกับลูกจนเกิดเป็นนิสัย ควรใช้คำพูดที่สามารถเข้าใจง่าย ไม่ควรเน้นหลักการมากเกินไป"

สุดท้าย คุณหมอฝากแง่คิดไปถึงพ่อแม่ทุกคนว่า "ควรระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่ลูกต้องการไม่ใช้สิ่งของหรือของเล่นราคาแพง แต่สิ่งที่ลูกต้องการ คือ ความรัก ความผูกพันที่พ่อแม่มอบให้กับลูก แม้ว่าสมองของลูกจะทำงานผิดปกติ อย่างไรก็ตามหากมีการดูแลของพ่อแม่อย่างใกล้ชิดและถูกต้อง เด็กๆ จะห่างไกลจากโรคนี้อย่างแน่นอน"

ข้อมูล โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2553 14:00 น.
http://manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000054120

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผ้าอ้อมธรรมดา VS ผ้าอ้อมสำเร็จรูปจะใช้อะไรดีคะ






วันนี้ Happy Admin จะมาเล่าประสบการณ์เปรียบเทียบระหว่างผ้าอ้อมธรรมดากับผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้เพื่อนๆ คุณแม่ฟังกันนะคะ หากคุณแม่ท่านใดมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมก็เข้ามาแชร์ประสบการณ์กันได้ค่ะ

ผ้าอ้อมธรรมดา


ข้อดี

1. ประหยัดเงินมากกว่าเพราะซักแล้วนำมาใช้ใหม่ได้อีกหลายครั้ง
2. ใช้ได้สารพัดประโยชน์ เช่น ให้ลูกสวมใส่เพื่อซับอึ-ฉี่, ใช้รองปูที่นอน, ใช้แทนเป็นผ้าห่มหรือเป็นผ้าห่อตัวเด็กได้,ใช้ซับเช็ดน้ำมูก น้ำลาย เศษอาหารที่ติดขอบปาก ฯลฯ เป็นต้น
3. มีความโปร่ง สบาย สำหรับเด็กทารก เหมาะสมกับการใช้งานในบ้านเราที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น

ข้อเสีย

1. เหนื่อยในการซักล้างทำความสะอาด และหากเด็กอึ-ฉี่บ่อยก็จะใช้เวลามากในการซักล้างทำความสะอาดผ้าอ้อมในปริมาณมาก
2. ทันทีที่เด็กทารกฉี่หรืออึจะแฉะ เปรอะเปื้อนสกปรก ฉี่และอึจะซึมไปถึงสิ่งอื่นที่อยู่ข้างเคียงเช่นฟูกที่นอน ผ้าปูที่นอน หรือที่รองนั่งในรถเข็นเด็ก หรือหากเราอุ้มอยู่ก็จะเปื้อนมาถึงคุณพ่อคุณแม่ได้ค่ะ 555... เพิ่มงานการทำความสะอาดหลายอย่างเลย เหนื่อยค่ะ...
3. เมื่อเด็กฉี่หรืออึแล้วต้องรีบทำความสะอาดก้นให้เด็กนะคะ และเปลี่ยนผ้าต่างๆ ให้เรียบร้อย หากไม่ได้ดูและปล่อยเด็กไว้กับผ้าอ้อมเปียกฉี่หรืออึ จะทำให้เด็กมีผื่นแพ้ที่ก้นได้ค่ะ ไม่ได้เกิดผื่นเฉพาะการใช้แต่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปอย่างเดียว
4. หากมีผู้ช่วยงานคุณแม่ เช่นจ้างแม่บ้านก็ดี หรือมีญาติปู่ ย่า ตา ยาย ฯลฯ มาช่วยเลี้ยงก็ดี ก็อาจช่วยเหลือเรื่องการซักทำความสะอาดผ้าอ้อมและผ้าอื่นๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากงานผ้าอ้อมได้ แต่ดูสิคะ... จะเห็นได้ว่าต้องใช้พลังงานหรือทรัพยากรคนมากขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีความจำเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่จะต้องมีคนช่วยไม่งั้นละก็ไม่ได้พักเหนื่อยค่ะ เพราะพอให้นมลูกเสร็จก็ต้องซักผ้าอ้อมต่อ แถมขอบอกอีกนิดค่ะ ลูกที่เลี้ยงด้วยนมแม่บางคน จะมีการอึบ่อยมากค่ะ อาจจะเป็น 10 ครั้งขึ้นไปต่อ 24 ชั่วโมง คิดดูสิคะว่าจะต้องซักผ้าอ้อมเปื้อนอึปริมาณมากแค่ไหนต่อรอบ 24 ชั่วโมง (เจอมาแล้วค่ะ เลี้ยงลูกเอง ทั้งให้นมลูกเอง และช่วยกันซักผ้าอ้อมเองกับคุณพ่อเด็ก ไม่มีผู้ช่วยงาน แทบไม่มีเวลาพักเหนื่อยเลยค่ะ ต้องอึด...จริงๆ)

ผ้าอ้อมสำเร็จรูป

ข้อดี

1. สะดวก รวดเร็ว ในการใช้งาน ความสะดวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเด็กหลับจะได้ไม่รบกวนเด็กมาเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยครั้ง หรือเวลาต้องเดินทาง พาลูกออกไปนอกบ้านก็ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย
2. ประหยัดทั้งเวลาและพลังงาน หากคุณแม่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวไม่มีผู้ช่วยก็สามารถช่วยเหลือตนเองได้คล่องตัวขึ้น
3. ซึมซับดีและได้หลายครั้ง ไม่ซึมเปื้อนผ้าหรือสิ่งอื่นๆ รอบข้าง (ยกเว้นใส่ไม่ดีหรือเลือกขนาดใหญ่ไปไม่กระฉับกับตัวเด็กก็อาจมีฉี่หรืออึซึมเปื้อนได้)
4. มีหลายยี่ห้อและหลายไซส์ให้เลือกตามความเหมาะสมของขนาดตัวเด็ก

ข้อเสีย

1. มีราคาสูง หากต้องใช้เป็นประจำและจำนวนมากก็จะต้องสิ้นเปลืองเงินเยอะอยู่ค่ะ และเป็นการใช้งานแบบใช้เสร็จแล้วต้องทิ้ง ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
2. มีความอบ อับชื้น หากไม่ปล่อยให้ก้นเด็กโล่งบ้างอาจทำให้เด็กมีผื่นขึ้นที่ก้นค่ะ โดยเฉพาะหากเด็กฉี่หลายครั้งหรือมีอึและไม่รีบทำความสะอาดก้นเด็ก ยิ่งมีโอกาสเป็นผื่นแพ้ได้มากค่ะ
3. ความเคยชินสำหรับเด็กที่เลี้ยงด้วยผ้าอ้อมสำเร็จรูปบางคน เมื่อถึงเวลาฝึกฉี่-อึโถนจะไม่ยอมปรับตัวง่ายนัก จะติดฉี่หรืออึในผ้าอ้อมสำเร็จรูป
4. ย่อยสลายยากและยาวนานมากค่ะ จึงเพิ่มปัญหาขยะและด้านสิ่งแวดล้อม

Happy Admin ได้หาข้อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของผ้าอ้อมธรรมดากับผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้เพื่อนๆ คุณแม่ได้อ่านกันจากประสบการณ์ของ Happy Admin เองค่ะ จะเห็นได้ว่าสำหรับการใช้ผ้าอ้อมในภูมิอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรานั้น อาจต้องใช้ผ้าอ้อมทั้ง 2 ชนิดค่ะ สลับกันใช้ตามความเหมาะสม เช่นใช้ผ้าอ้อมธรรมดาตอนกลางวัน ใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปตอนกลางคืน และตอนเดินทางทั้งนี้นอกจากจะทำให้ก้นเด็กได้ปล่อยโล่งสบายบ้างในตอนกลางวันแล้ว ยังประหยัดเงินและเวลาแบบพบกันครึ่งทาง ส่วนตัว Happy Admin เองประหยัดแม้ช่วงกลางคืนก็ใช้ผ้าอ้อมธรรมดา และหมั่นลุกขึ้นมาเปลี่ยนให้ลูกช่วงวัยแรกเกิด เพราะฉี่อึบ่อยมาก (เลี้ยงลูกด้วยนมแม่และลูกก็จะอึบ่อยม๊ากๆ หากใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปหลายอันก็จะเปลืองเงินมาก จึงต้องใช้ผ้าอ้อมธรรมดา)บอกได้เลยค่ะว่าเหนื่อยมากๆ และอ่อนเพลียจริงๆ เพราะทำอย่างนี้อยู่หลายเดือน กว่าจะได้เปลี่ยนมาใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปตอนกลางคืน เป็นเรื่องของสภาพเศรษฐกิจครัวเรือนจริงๆ ถ้าคุณแม่มีงบมากก็อาจสบายหน่อยจุดนี้ทั้งใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้ไม่จำกัดจำนวน และมีคนช่วยเลี้ยง แต่ก่อนที่จะจบบทความนี้อย่าลืมนะคะว่า ผ้าอ้อมสำเร็จรูปย่อยสลายยากมากค่ะ และต้องใช้เวลากว่า 500ปีทีเดียวในการย่อยสลาย ตอนนี้เทรนด์เริ่มหันมาใช้กางเกงผ้าอ้อมสำเร็จรูปกันแล้วลองหาดูนะคะว่าใช้ยี่ห้อไหนดี ผ้าชนิดไหนเหมาะสมกับผิวลูกเรา นอกจากจะซึมซับได้ดีกว่าผ้าอ้อมผ้าธรรมดาแล้ว ยังประหยัดเงินเพราะซักสะอาดแล้วสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก น่าจะเป็นความลงตัวหากใช้ผสมผสานกันทั้ง 3 อย่างตามโอกาสที่จำเป็นและตามความเหมาะสม คงจะช่วยประคับประคองด้านค่าใช้จ่ายและด้านสิ่งแวดล้อมไปได้บ้าง

รูปที่ใช้ประกอบบทความใช้เพื่อความเข้าใจและความสวยงามเท่านั้น Happy Admin มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตามในรูปแต่ประการใด

อ้างอิงรูปจาก : http://www.weloveshopping.com/template/w09/showproduct1.php?pid=1284183&shopid=8529
http://www.green.in.th/blog/business/1456
ขอบคุณค่ะ

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อาหารที่มีประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์

ช่วงนี้ขอต่อด้วยข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับแม่และลูกกันก่อนนะคะ เพราะยังไม่ไกลช่วงเทศกาลวันแม่เท่าไหร่นัก

ต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ สำหรับคนที่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์และจะมีลูกน้อยมาโอบอุ้มในอ้อมแขนไม่ช้านี้แล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องดูแลตัวเองให้มากๆ นะคะ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน สำหรับวันนี้ Happy Adminได้หาข้อมูลดีๆ มาให้คุณแม่ตั้งครรภ์อ่านกันค่ะ

อาหารที่เหมาะสมกับคุณแม่ตั้งครรภ์มีดังนี้

โปรตีน จะเป็นสารอาหารที่ช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอไป จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับลูกในการก่อร่างสร้างเลือดเนื้อให้เป็นตัวเป็นตน คุณแม่ตั้งครรภ์จึงต้องการอาหารประเภทนี้เพิ่มเติม ซึ่งได้แก่ เนื้อ นม ไข่ และถั่ว เป็นต้น เนื้อที่ว่านี้อาจเป็นเนื้อหมู เนื้อเป็ดหรือไก่ก็ได้ เนื้อสัตว์เหล่านี้มีโปรตีนคุณภาพดี มีธาตุเหล็กมาก
นอกจากนี้ควรกินตับด้วยสักสัปดาห์ละครั้ง เนื้อปลาก็มีโปรตีนดีทีเดียว ไขมันไม่มาก แต่ธาตุเหล็กน้อยไปหน่อย
ไข่ก็มีโปรตีนครบถ้วน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอาหารที่กินง่าย กินสักวันละ 1 ฟอง ดื่มนมสดวันละ 2-3 แก้ว แต่ไม่ควรดื่มนมข้นหวานเพราะโปรตีนน้อยมาก มีแต่ไขมันกับน้ำตาล ถ้าไม่ดื่มนมสดอาจจะดื่มนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ก็ได้

แป้งและน้ำตาล อาหารประเภทนี้ได้แก่ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมหวาน ฯลฯ ปกติเราไม่ควรกินมากนัก โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย สำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรจะรับประทานอาหารประเภทนี้น้อยลง เพราะว่าในระหว่างตั้งครรภ์นั้นร่างกายจะเผาผลาญแป้งและน้ำตาลได้น้อยลง และระบบย่อยก็ไม่ปกติ ถ้ากินมากไปก็อาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย กินแต่พอสมควรก็แล้วกัน สำหรับผู้ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากเกินไป ก็ควรกินข้าวและขนมหวานให้น้อยลง แล้วกินผักและผลไม้แทนจะดีกว่า

ไขมัน เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่งที่ควรระวังและหลีกเลี่ยง เช่น อาหารทอด หรือผัดที่ใส่น้ำมันมากๆ เพราะความต้องการของร่างกายน้อยลงแล้วก็ย่อยยากด้วย เหมือนกับพวกแป้งและน้ำตาล กินมากมีแต่ทำให้ท้องอืด เฟ้อ แน่นท้อง อึดอัด เพิ่มน้ำหนักตัวของคุณโดยแปรเป็นไขมันจับตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ผัก ถั่ว ผลไม้และน้ำผลไม้ มีประโยชน์มาก เพราะมีทั้งโปรตีนและวิตามินต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ แล้วช่วยเรื่องระบบขับถ่ายอุจจาระด้วย เรียกว่า กินง่าย ถ่ายคล่อง ราคาก็ไม่แพง เพราะเมืองเรามีกินตลอดปี แต่ก็มีเรื่องควรระวังเป็นพิเศษคือ สารพิษประเภทยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่ในผักและผลไม้ ควรแช่น้ำนานๆ ราว 10-15 นาที หรือให้น้ำก๊อกไหลผ่านตลอดเวลาราว 2 นาที หรือใช้น้ำยาล้างผัก ผลไม้ ล้างให้สะอาดแล้วจึงค่อยบริโภค
ควรรับประทานผลไม้เหล่านี้สลับกันทุกวัน เช่น กล้วย เงาะ มังคุด มะละกอ ส้มเขียวหวาน สับปะรด เป็นต้น

วิตามินและแร่ธาตุ ช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอดนั้นร่างกายของคุณแม่ต้องการวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่นวิตามิน เอ บี ซี ดี กรดนิโคตินและกรดโฟลิก ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซึ่งถ้ากินอาหารถูกส่วนก็มักจะได้วิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ครบตามที่ร่างกายต้องการแล้วคือ ธาตุเหล็กซึ่งช่วยให้เม็ดเลือดมีมากพอที่จะลำเลียงออกซิเจนจากเลือดแม่ไปยังลูก จะได้จากอาหารจำพวก ตับ ไข่แดง ผักใบเขียว เช่น ผักขม ตำลึง และอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิด ส่วนแคลเซียมซึ่งช่วยในการสร้างกระดูกและฟันของลูก จะได้จากนม เนยเป็นส่วนใหญ่
แต่ว่าในชีวิตประจำวัน เราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าอาหารที่กินอยู่นั้น เราได้สารอาหารครบถ้วนหรือไม่ ดังนั้นสูติแพทย์จึงต้องจ่ายยาบำรุงซึ่งประกอบด้วย วิตามินรวมและธาตุเหล็กให้ด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 เดือนหลัง ซึ่งร่างกายต้องการแคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นมากกว่าระยะแรกๆ ของการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรกินยาบำรุงตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดเพื่อสุขภาพของตนเองและลูกน้อยในครรภ์

ของต้องห้ามสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
โดยทั่วไปอาหารที่กินกันอยู่ประจำก็ไม่ห้ามอะไร ยกเว้นอาหารที่จะทำให้เสาะท้อง ท้องเสียได้ง่าย ทำให้ร่างกายไม่ได้รับคุณค่าของสารอาหารที่กินเข้าไปอย่างเต็มที่ เท่ากับกินเข้าไปเสียเปล่า หรืออาหารที่มีรสจัดมากก็ควรจะงดหรือพยายามหลีกเลี่ยงเสีย เพราะว่าระหว่างตั้งครรภ์นั้นระบบย่อยอาหารจะผิดปกติไปจากเดิม มีโอกาสที่จะท้องอืด ท้องเฟ้ออยู่บ่อยๆ สำหรับผู้ที่แพ้อาหารบางชนิดเช่น อาหารทะเล ก็อย่าเผลอกินเข้าไป เพราะบางคนจะมีอาการแพ้มากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์

ยาจีนหรือยาหม้อ ซึ่งเล่ากันว่าเป็นยาบำรุงนั้น ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์กันว่ามีประโยชน์มากน้อยเพียงใด ตำรับหรือส่วนผสมก็ไม่แน่นอน บางอย่างราคาแพงมาก ไม่จำเป็นต้องซื้อมากินหรอกเพราะอาจจะไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป บางรายอาจแพ้ยาเหล่านี้ ขอให้กินอาหารที่มีประโยชน์ตามที่แนะนำไว้แล้วและกินยาบำรุงซึ่งได้แก่ วิตามินและธาตุเหล็กตามที่แพทย์ให้มาจะดีกว่า เพราะได้มีการพิสูจน์แล้วว่ามีความจำเป็นและมีประโยชน์แน่นอน

ผงชูรส คุณผู้หญิงตั้งครรภ์และทารกไม่ควรรับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรส เพราะอาจจะเป็นตัวทำลายหรือมีผลต่อการเจริญเติบโตของสมองลูกได้

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คุณแม่บางคนอาจจะอยู่ในสังคมธุรกิจ บางทีก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์ ถ้าจิบเพียงนิดหน่อยไม่น่าจะต้องห้ามเพราะปริมาณเล็กน้อย จะไม่มีอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อยแต่อย่างใด แต่ถ้าดื่มมากเกินไปก็ไม่ดีจนติดเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังแล้วละก็อาจจะเกิดอันตรายได้ ลูกที่เกิดมาอาจจะมีน้ำหนักน้อยเติบโตช้า มีอาการติดเหล้า อาจปัญญาอ่อน เกิดความพิการของหัวใจและหลอดเลือดได้

บุหรี่ เชื่อกันว่าสารนิโคตินในบุหรี่สามารถผ่านรกไปยังตัวเด็กได้ซึ่งจะเข้าไปกดการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการหายใจและการเต้นของหัวใจ ดังนั้นคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แล้วสูบบุหรี่มากกว่าวันละ 10 มวนอาจเกิดผลร้ายขึ้นมาได้คือ มีโอกาสแท้งลูกหรือคลอดก่อนกำหนดได้มากกว่าคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ และถึงแม้จะคลอดครบกำหนดวันก็ตาม ลูกก็มักจะมีน้ำหนักน้อย ตัวเล็กกว่าปกติและจะชักได้ง่าย
เชื่อไหมว่าคุณผู้หญิงที่มีครรภ์แม้ไม่ได้สูบบุหรี่เอง หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ ก็จะส่งผลร้ายต่อการตั้งครรภ์ได้เหมือนกัน เช่น คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศที่มีคนสูบบุหรี่ทั้งวันก็เหมือนกับคุณแม่สูบเสียเอง ทั้งนี้บุหรี่แบบก้นกรองก็ไม่มีข้อยกเว้นด้วย

น้ำชา กาแฟ สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ถ้าดื่มน้ำชาแก่ๆ จะทำให้ท้องผูกง่าย คนที่ท้องผูกอยู่แล้วน่าจะหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชา เพราะเวลาตั้งครรภ์ไม่ควรจะให้ระบบขับถ่ายผิดปกติจะทำให้อึดอัดมากและเกิดริดสีดวงทวารได้ง่าย ส่วนกาแฟนั้นถ้าดื่มมากไปอาจะทำให้ใจสั่นและนอนไม่หลับ เพราะคาเฟอีนในกาแฟทำให้หัวใจเต้นแรง

ข้อมูลอ้างอิงจาก: รศ.นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ.คู่มือดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ.แปลน พริ้นท์ติ้ง,2539

ทารกกินนมแม่อย่างเดียวไปจนถึงอายุ 6 เดือน

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลวันแม่ Happy Adminจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับแม่และลูกมาให้อ่านกันค่ะ จากเดิมเรื่อง"นมแม่...สำคัญที่สุดสำหรับลูก" เพื่อร่วมรณรงค์และเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ค่ะ เมื่อเพื่อนๆ ได้อ่านและทราบแล้วว่านมแม่สำคัญอย่างไร สำหรับวันนี้ Happy Adminก็อยากจะเน้นย้ำอีกครั้งว่าทารกควรกินนมแม่อย่างเดียวไปจนถึงอายุ 6 เดือนค่ะ โดยที่ทารกนั้นจะได้รับสารอาหารครบถ้วนและไม่จำเป็นต้องกินอาหารอ่อนเสริม งานวิจัยยืนยันว่าทารกที่กินนมแม่อย่างเดียวจนอายุ 6 เดือนจะมีสุขภาพแข็งแรงดี และมีปัญหาสุขภาพน้อยกว่าเด็กที่เริ่มอาหารเสริมเร็วกว่าวัยนี้ แต่ที่แน่ๆ คือทารกไม่ควรได้อาหารเสริมอื่นใด จนกว่าอายุจะถึง 4 เดือนทั้งนี้เพราะ
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นภูมิแพ้ เมื่อทารกอายุ 6 เดือนจะมีภูมิต้านทานมากพอจะต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
- อาจเกิดปัญหาย่อยยาก เพราะระบบย่อยของเด็กเล็กยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์
- เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดหูอักเสบ ในนมแม่จะมีภูมิต้านทานเชื้อโรคถ่ายทอดให้ลูกด้วย
- เลอะเทอะยุ่งยาก ตอนยังเล็กทารกกลืนไม่เก่ง มักบ้วนอาหารออกมามากกว่ากลืนเข้าไป ทั้งยังปล่อยให้นั่งกินคนเดียวไม่ได้ด้วย

เพราะฉะนั้นลูกยังไม่ควรได้รับอาหารอ่อนจนกว่าจะอายุ 4 เดือนขึ้นไปนะคะ และอย่าลืมนะคะจากบทความที่แล้วเรื่อง"นมแม่...สำคัญที่สุดสำหรับลูก": เด็กตั้งแต่แรกเกิด - 6 เดือน กระเพาะอาหารเด็กยังไม่เจริญเต็มที่ ยังย่อยไม่ดี ไม่ควรให้อาหารอื่น ถ้าให้กินน้ำไปด้วยจะแย่งที่นม ทำให้ลูกได้อาหารน้อยลง ฉะนั้นควรเน้นให้เด็กกินแต่นมแม่อย่างเดียวดีที่สุดค่ะ

ข้อมูลโดย. Jane Chumbley เขียน.แพทย์หญิงภัทรวรรณ ธาดาดลทิพย์ แปล.เลี้ยงลูกน้อยด้วยนมแม่ Breastfeeding.กรุงเทพฯ.ซีเอ็ดยูเคชั่น,2549.

และเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2553 นี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาต น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและอานุภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล ได้โปรดดลบันดาลให้สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเกษมสำราญ ทรงพระเจริญพรั่งพร้อม ด้วยจตุรพิธพรชัย มีพระราชประสงค์สิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์สมดังพระราชหฤทัยปรารถนาทุกประการ ขอพระองค์ทรงสถิตเป็นพระมิ่งขวัญร่มเกล้าพสกนิกรชาวไทยตราบนิรันดร์กาล ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ Happy Life - Happy doing

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นมแม่...สำคัญที่สุดสำหรับลูก

ใกล้ถึงวันแม่แล้วค่ะ วันนี้จึงขอนำบทความที่มีประโยชน์เกี่ยวกับแม่ๆ ลูกๆ มาให้อ่านกันบ้างค่ะ เพื่อนๆ คะ ลูกน้อยตัวเล็กๆ ของเราอยากกินนมแม่ที่สุดในโลกค่ะ

10 เหตุผลสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

1. นมแม่...มีความพอเหมาะกับเด็ก
น้ำนมแม่มีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กมากกว่า 200 ชนิด ที่สร้างมาให้เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละคน ซึ่งยากที่นมใดจะเลียบแบบได้ เรียกได้ว่าสารอาหารที่มีในนมแม่เป็นต้นทุนล้ำค่าต่อพัฒนาการ สติปัญญา และอารมณ์ที่ดีของเด็ก

2. นมแม่...มีสารสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
หัวน้ำนมที่สร้างขึ้นมาในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอดถือเป็นวัคซีนหยดแรกที่เด็กแรกคลอดทุกคนได้รับเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ยิ่งให้นมแม่นานเท่าใด จะยิ่งป้องกันโรคต่างๆ ได้มากเท่านั้น

3. นมแม่...สะดวก สบาย และปลอดภัย
น้ำนมแม่สด สะอาด และมีอุณหภูมิพอเหมาะพร้อมที่ลูกจะดูดกินทุกเวลาตามต้องการ เรียกได้ว่านมแม่ "สะดวก สะอาด ทุกที่ ทุกเวลา"

4. นมแม่...สร้างและหลั่งด้วยวิถีธรรมชาติ
หากลูกดูดนมได้เร็วที่สุด คือภายใน 1 ชั่วโมง หลังคลอด ให้ลูกดูดนมบ่อยเท่าที่ลูกต้องการ และดูดให้ถูกวิธีโดยอมให้ลึกถึงลานหัวนม จะเกิดการสร้างน้ำนมเร็วและมากขึ้น น้ำนมแม่มีพอสำหรับลูกเสมอ แม้จะเป็นลูกแฝด

5. นมแม่...สร้างสายสัมพันธ์อันแนบแน่น
การให้ลูกดูดนมแม่ ทำให้แม่-ลูกได้สัมผัสใกล้ชิดกัน ก่อให้เกิดความรักความผูกพันระหว่างกันยิ่งขึ้น

6. นมแม่...สร้างได้ตลอดเวลา
หลังอายุ 6 เดือน ลูกยังกินนมแม่ได้ เพราะน้ำนมแม่ยังมีคุณค่าสารอาหารสำหรับลูกวัยนี้ การให้อาหารตามวัยเป็นการเสริมความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นตามวัย

7. นมแม่...ลดค่าใช้จ่าย
เพราะไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผงให้ลูกได้ประมาณเดือนละ 2,000 บาท ลดค่ารักษาพยาบาล เพราะลูกแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย

8. นมแม่...ช่วยแม่ลดน้ำหนักและปกป้องสุขภาพ
การใช้พลังงานเพื่อผลิตน้ำนมแม่ ทำให้แม่น้ำหนักลดลง และส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น ลดโอกาสตกเลือดหลังคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และโรคกระดูกพรุน

9. นมแม่...สร้างประสบการณ์ของความเป็นแม่
การได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ให้แม่-ลูกได้อยู่ด้วยกัน เป็นโอกาสของการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก แม่ได้เรียนรู้ และอดทนในการเลี้ยงลูก และตอบสนองลูกอย่างเหมาะสม

10.นมแม่...ทำงานก็ให้ลูกกินนมได้
แม่ไม่จำเป็นต้องหยุดให้นมลูกเมื่อไปทำงาน เพราะสามารถเตรียมน้ำนมให้ลูกได้หลายวิธี เช่น ก่อนกลับไปทำงานให้ฝึกบีบนม เพื่อจะได้บีบน้ำนมเก็บไว้ให้ลูกกินระหว่างวันขณะที่แม่ไปทำงานได้ ก่อนไปทำงานและหลังกลับจากงานให้ลูกดูดนมแม่อย่างเต็มที่ ช่วงอยู่ที่ทำงานก็บีบนมเก็บทุกๆ 3 ชั่วโมง หากบ้านกับที่ทำงานอยู่ใกล้กัน ก็กลับไปให้นมลูกตอนพักได้

อย่าลืมนะคะ: เด็กตั้งแต่แรกเกิด - 6 เดือน กระเพาะอาหารเด็กยังไม่เจริญเต็มที่ ยังย่อยไม่ดี ไม่ควรให้อาหารอื่น ถ้าให้กินน้ำไปด้วยจะแย่งที่นม ทำให้ลูกได้อาหารน้อยลง ฉะนั้นควรเน้นให้เด็กกินแต่นมแม่อย่างเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจากคณะแพทย์และนักวิชาการผู้จัดทำหนังสือนมแม่...สายใยรักจากแม่สู่ลูก

กินตามกรุ๊ปเลือด...ไม่ยากอย่างที่คิด...ลองทำดูนะคะ

กรุ๊ปเลือดคือสิ่งที่ตัดสินว่ากินอะไรจึงจะเป็นผลดีต่อสุขภาพมากที่สุด

หมู่โลหิตหรือกรุ๊ปเลือดเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม อาจกล่าวได้ว่ากรุ๊ปเลือดมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดต่อระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองของร่างกาย นอกจากนี้กรุ๊ปเลือดยังเป็นตัวกำหนดได้ว่าเราควรกินอะไรจึงจะมีสุขภาพแข็งแรง หากกินผิดอาจทำให้เจ็บป่วย ดังนั้นถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรง มีระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองที่เข้มแข็งก็ต้องกินอาหารที่เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือดของตน

คนเลือดกรุ๊ปเอ ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์

ตามสถิติทางการแพทย์ โรคที่คนเลือดกรุ๊ปเอมีโอกาสเป็นได้ง่าย ได้แก่ แผลฝีหนองจากเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ติดเชื้อซาโมเนลลา วัณโรค โรคบิด คอตีบ ไข้หวัดใหญ่ หลอดเลือดแข็งตัว อาการข้ออักเสบรูมาติก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคลมบ้าหมู โรคพิษสุรา
ผลการวิจัยแสดงว่าคนเลือดกรุ๊ปเอ สัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งของระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลิ้น มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งหลอดอาหาร โดยเฉพาะคนเลือดกรุ๊ปเอมีอัตราการป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารสูงอย่างชัดเจน

ข้อแนะนำการกินอาหารของคนเลือดกรุ๊ปเอ

ควรพยายามเลี่ยงผลิตภัณฑ์นม งดการปรุงอาหารด้วยวิธีทอด ผัด และย่าง หากกินเนื้อสัตว์ปริมาณมากทุกวันจะทำให้อาหารไม่ย่อย รบกวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ และอาจเกิดลิ่มเลือดอุดกั้น (Obstructive Thrombus) โรคหัวใจ โรคลมปัจจุบัน (Stroke) ท้องผูก โรคผิวหนัง และโรคมะเร็ง

ขอแนะนำอัตราส่วนของอาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ปเอ ดังนี้

ผัก 55% ผลไม้ 20% ธัญพืช ถั่วและเมล็ดพืชเปลือกแข็ง 20% ไข่และอาหารทะเล 5% (ถ้าวันไหนกินไข่ควรงดอาหารทะเล)

การออกกำลังกาย

ไม่ควรออกกำลังกายหนัก ขอแนะนำให้ออกกำลังกายด้วยการฝึกโยคะ ชี่กง หรือรำมวยไท่จี๋ (ไท้เก๊ก) นั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือทำสมาธิเป็นประจำเพื่อให้จิตใจสงบ เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ

คนเลือดกรุ๊ปโอ ไม่ควรกินมังสวิรัติเป็นเวลานาน

ตามสถิติทางการแพทย์ โรคที่คนเลือดกรุ๊ปโอมีโอกาสเป็นง่าย ได้แก่ โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ตับแข็ง ถุงน้ำดีอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ โรคหืด และแผลฝีหนอง โดยทั่วไปคนเลือดกรุ๊ปโอไม่ค่อยเจ็บป่วย อายุขัยเฉลี่ยก็ยาวกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นอย่างเห็นได้ชัด

ข้อแนะนำการกินอาหารของคนเลือดกรุ๊ปโอ

โดยทั่วไปคนเลือดกรุ๊ปโอจำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์ปริมาณหนึ่ง หากกินแต่พืชผักเป็นเวลานาน ร่างกายจะไม่ดูดรับสารอาหารที่ระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองต้องการอย่างครบถ้วน ทำให้เจ็บป่วยง่าย

ขอแนะนำอัตราส่วนของอาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ปโอ ดังนี้

ผักชนิดต่างๆ 75% ผลไม้ 10% เนื้อสัตว์ อาหารทะเล และนมแพะเล็กน้อย (ไม่ใช้นมวัว)10% อีก 5% เป็นธัญพืชกับเมล็ดพืชเปลือกแข็ง

การออกกำลังกาย

ควรเลือกการออกกำลังกายหนักตามความชอบและออกกำลังกายแบบแอโรบิก อย่างเล่นฟุตบอล เดินเร็ว วิ่งระยะสั้น

คนเลือดกรุ๊ปบี ไม่ควรกินเนื้อสัตว์

ตามสถิติทางการแพทย์ โรคที่คนเลือดกรุ๊ปบีมีโอกาสเป็นง่าย ได้แก่โรคบิด ไข้หวัดใหญ่ โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคเอสแอลอี โรคเกี่ยวกับกระดูก โรคระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธ์ โรคข้อต่ออักเสบ วัณโรค มะเร็งช่องปาก และมะเร็งเต้านม คนเลือดกรุ๊ปบียังมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่น

ข้อแนะนำการกินอาหารของคนเลือดกรุ๊ปบี

ขอแนะนำอัตราส่วนของอาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ปบี ดังนี้

ผักชนิดต่างๆ 55% ผลไม้ 10% พืชประเภทหน่อและหัว 15% เมล็ดพืชเปลือกแข็ง 10% ไข่และนมแพะ 10%

การออกกำลังกาย

สำหรับการออกกำลังกาย ควรอยู่ในระดับปานกลาง เช่นเดินเร็ววันละ 30 นาที

คนเลือดกรุ๊ปเอบี ควรงดเนื้อไก่และเนื้อวัว

ตามสถิติทางการแพทย์ โรคที่คนเลือดกรุ๊ปเอบีมีโอกาสเป็นง่าย ได้แก่ ติดเชื้อกลัดหนอง โรคทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน ไวรัสตับอักเสบ และโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังพบว่าคนเลือดกรุ๊ปเอบีมีอัตราการป่วยเป็นโรคจิตสูงกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นถึง 3 เท่า แต่มีอัตราการป่วยเป็นวัณโรคและโรคโลหิตจางขณะตั้งครรภ์น้อยกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นมาก

ข้อแนะนำการกินอาหารของคนเลือดกรุ๊ปเอบี

โดยพื้นฐานแล้วยึดตามอัตราส่วนของอาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ปบี โดยกินผักต่างๆ 55% พืชประเภทหน่อและหัว 15% ผลไม้ 5% เมล็ดพืชเปลือกแข็ง 15% ไข่และนมแพะ 10%

ส่วนการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปเอบีนั้น ในหนังสือที่ Happy Admin ไปค้นคว้ามาไม่ได้กล่าวถึง แต่คิดว่าน่าจะเป็นการออกกำลังกายคล้ายคนเลือดกรุ๊ปบี คือควรอยู่ในระดับปานกลาง เช่นเดินเร็ววันละ 30 นาที

หากเพื่อนๆ สนใจเกี่ยวกับเรื่องกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดและต้องการข้อมูลอย่างละเอียดมากกว่านี้เพื่อนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันดูละก็ ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูเพิ่มเติมนะคะ (Happy Adminไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้ผลิตหนังสือ เพียงแนะนำเพื่อนๆ เผื่อข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ค่ะ)

ขอขอบคุณข้อมูลของ Dr. Tom Wu แปลโดย เรืองชัย รักศรีอักษร.ธรรมชาติช่วยชีวิต ฉบับปรับปรุง.พิมพ์ครั้งที่ 5.กรุงเทพฯ.นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์,2552

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การดื่นน้ำสำคัญนะคะ อย่ามองข้ามไป!


มีเพื่อนๆ หลายคนที่มีผิวแห้ง ริมฝีปากแห้ง มักจะเข้าใจว่าเราต้องทาโลชั่น ทาลิปมันเพื่อลดหรือบรรเทาอาการผิวแห้ง แต่เอ๊ะ...ทาโลชั่นเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น เปลี่ยนยี่ห้อก็แล้ว บางคนก็แห้งจนแสบผิวแสบริมฝีปากไปหมด เพื่อนๆ คะ...อย่ามองข้ามเรื่องของการดื่มน้ำในแต่ละวันให้เพียงพอนะคะ ตามหลักวิชาการแล้วเราควรดื่มน้ำไม่ต่ำกว่าวันละ 8-10 แก้วต่อวัน แต่ Happy Admin คิดว่าสำหรับคนที่มีผิวแห้ง ควรจะดื่มให้มากกว่านี้ รวมทั้งอย่าลืมทานอาหารที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ ได้แก่ แกงจืดที่มีผักต่างๆ ทานผักที่มีน้ำมากได้แก่ แตงกวา มะเขือเทศ ฝัก บวบ ฯลฯ รวมทั้งผลไม้ เช่นแตงโม สับปะรด ส้ม แอปเปิ้ล สาลี่ ฯลฯ (ยกเว้นผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมผลไม้ที่มีรสหวาน)

เพราะน้ำนี่ละค่ะ ที่จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น ช่วยบรรเทาอาการผิวแห้ง และริมฝีปากแห้งได้ (น้ำในที่นี้คือน้ำเปล่านะคะ ไม่ใช่น้ำหวาน หรือน้ำอัดลม ถ้าดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลมมากเกินไปเดี๋ยวความอ้วนจะถามหาอีก) ยิ่งถ้าช่วงไหนอากาศร้อนมีเหงื่อออกมากๆ ยิ่งต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อเข้าไปชดเชยให้กับร่างกาย
นอกจากนี้ การดื่มน้ำจะช่วยลดการอืด บวมได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักยิ่งต้องสนใจดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ดีขึ้นค่ะ (ภาวดี วิเชียรรัตน์.เอ็นจอย อีทติ้ง.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ.ดอกหญ้า 2000.2545.หน้า 28)

ยังไงก็ตามสำหรับผู้ที่ผิวแห้งมากและมีอาการแสบร้อนผิว หรือมีผื่นตุ่มขึ้น อันเนื่องมาจากผิวมีการอักเสบร่วมด้วยก็จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังนะคะ อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะอาการผื่นตุ่มอาจลุกลามกินบริเวณกว้างได้ อาการดังกล่าวนี้อาจพบได้ในผู้สูงอายุที่มีผิวแห้งค่ะ ซึ่งอาจเป็นเรื่องปัญหาสุขภาพอย่างอื่นหรือการมีทุโภชนาการร่วมด้วย ปรึกษาคุณหมอดีกว่าแน่นอนค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไม่ได้เจอกันนาน


ช่วงที่ผ่านมามีวันหยุดหลายวันทั้งวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา Happy Admin ได้หายเงียบไปเพราะไปทำบุญต่างจังหวัดและพาครอบครัวไปเที่ยวกัน ฝนก็ตกม๊ากๆ แถมตกกันแทบทุกวัน เมื่อโดนฝนก็ต้องมาเป็นหวัดไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้เข้ามา update เว็บไซต์เลย คิดถึงงานและผู้อ่านมากค่ะ ขณะที่ซุ่มเงียบรักษาตัวอยู่ก็หาข้อมูลดีๆ มาให้อ่านติดตามกันเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้อ่านทุกๆ ท่านค่ะ แหม... การไม่เป็นโรคเนี่ยเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ นะคะ ไม่สบายทีก็ต้องเสียตังค์ค่าหมอค่ายา เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากจริงๆ ค่ะ ยังไงก็อย่าลืมติดตามอ่านเป็นกำลังใจให้ Happy Admin กันต่อไปนะคะ

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพื่อนๆ รู้จัก "นาฬิกาชีวิต" ไม๊คะ?




เรื่องของ"นาฬิกาชีวิต" เป็นเรื่องการดูแลสุขภาพที่เผยแพร่โดยอาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา ท่านเป็นนักธรรมชาติบำบัดที่มีพื้นฐานจากครอบครัวแพทย์แผนไทยประกอบกับมีประสบการณ์ในการสืบค้นภูมิปัญญาไทยตามแนวธรรมชาติบำบัดยาวนานกว่า 30 ปีทั่วประเทศ ได้ค้นคว้าการแพทย์ในพระไตรปิฏกของพุทธศาสนา และท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้ลูกดิ่ง (Pendulum) สำหรับประเมินสภาวะสุขภาพผสมผสานกับความรู้เรื่องธรรมชาติบำบัดดังกล่าว อาจารย์ สุทธิวัสส์ ได้เผยแพร่ความรู้เรื่องสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บเกิดจากมูลเหตุตามพระไตรปิฏก คือ
1. กรรม 2. จิต 3. พลัง 4. ร่างกายและอาหาร
ความรู้เรื่องนาฬิกาชีวิตนี้ท่านได้เผยแพร่ไว้และมีผู้ศรัทธานำมาเผยแพร่ต่อๆ กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง

การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง

อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)

การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า "นาฬิกาชีวิต"
การดำเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้

01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโท
นิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งสารมีราโทนินเป็นประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหารเพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อยๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากจึงไม่ได้ทำหน้าหลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว
05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า
07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้าขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
09.00-11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือดสร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศรีษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
13.00--15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภทเพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่นวิตามินซี บี โปรตีน เพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลส์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อยไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน
15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม
19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ
21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี (ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ) อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตื่นเช้าจะจาม ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอนหรือก่อนเวลา 23.00 น.

อ้างอิงข้อมูล: อาจารย์นวลฉวี ทรรพนันทน์. นาฬิกาชีวิต.เว็บไซต์ http://www.si.mahidol.ac.th/Th/division/shdp/admin/knowledges_files/5_27_1.pdf
รูปภาพประกอบ : ล้อเกวียน.เวลาชีวิต.พิมพ์ครั้งที่ 5.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์กลั่นแก่น,สิงหาคม 2550.

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เพื่อสุขภาพดีต้องไม่ทำ 1 อ. อบายมุข

อบายมุข
ต้นเหตุร้ายทำลายชีวิตและครอบครัว ควร "ลด ละ เลิก" เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ

ลองเข้าไปที่ศูนย์มะเร็งแห่งชาติ ดูสิคะ มีผู้ป่วยเยอะค่ะ ที่เป็นมะเร็งอันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ และการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการเป็นเวลายาวนาน ที่ศูนย์ฯ จะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการบริโภคอาหารที่ถูกต้องเพื่อการหลีกเลี่ยงหรือลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็ง และที่สำคัญเราควรงดการสูบบุหรี่นะคะ เพราะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งหลอดลม มะเร็งในช่องปาก ถุงลมโป่งพอง เป็นต้น เมื่อเป็นแล้วก็ทุกข์ทรมานจากอาการของโรค และจากการกระบวนการรักษา และยิ่งทุกข์หนักก็คือต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงและเวลาที่ยาวนานในการรักษา

ส่วนโรคอันเกิดจากการสำส่อนทางเพศนะคะ ล้วนแล้วแต่มีอาการน่าเกลียดน่ากลัวทั้งนั้น และส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้วก็มีอาการเรื้อรัง หรืออาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่นกามโรค โรคเอดส์ เป็นต้น ลองไปสังเกตุการณ์ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรีสิคะ จะเห็นว่ามีผู้ป่วยโรคเอดส์จำนวนมากและมีทั้งผู้ใหญ่และเด็กเล็กๆ (เด็กได้รับเชื้อเอดส์จากคุณแม่ คุณแม่ก็ได้รับจากคุณพ่อ....) น่าเศร้าใจมากค่ะ แม้จะมีสถานที่ที่ช่วยเหลือโดยให้ที่อยู่อาศัยในการรักษาพยาบาลไปจนกว่าสุดท้ายของชีวิตดังกล่าว แต่มันไม่สนุกเลยนะคะ เป็นอีกโรคนึงที่ทุกๆ คนผวาและใช้ค่าใช้จ่ายสูงมากในการเยียวยา โดยที่ไม่หายจากโรค เพียงแค่ประคับประคองไม่ให้อาการทรุดลงเท่านั้น

ดูแลตนเองให้มีสุขภาพดีตั้งแต่วันนี้ดีกว่านะคะ จึงควรงด และ เลิกสิ่งที่เป็นอบายมุขทั้งปวง ด้วยความห่วงใยจาก Happy Admin คนนี้ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจากคู่มือสุขภาพครอบครัว สำหรับประชาชน สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร

อ.ที่ 4 อโรคยา และ อ.ที่ 5 อนามัยสิ่งแวดล้อม-มารีบทำกัน

อโรคา ความไม่เป็นโรคเป็นลาภอันประเสริฐ  เป็นสำนวนที่คนเราพูดกันติดปากเพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ   หากว่าเรารับประทานอาหารโดยไม่เลือกชนิดของอาหารให้เหมาะสมกับร่างกายก็ดี บริโภคมากเกินไปก็ดี ขาดการออกกำลังกายบ้างก็ดี อารมณ์ไม่ดีเป็นนิจสินก็ดี  ย่อมนำพาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บมาสู่เราอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว  ยกตัวอย่างง่ายๆ สำหรับเพื่อนๆ บางท่านที่ชอบรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปหรือแฮม ไส้กรอก ฯลฯ เป็นประจำ ร่างกายก็จะสะสมสารพิษไว้ สักวันหนึ่งก็จะออกอาการป่วยไข้เป็นโรคภัยไข้เจ็บตามมา  ทำงานได้เงินมาเท่าไหร่ก็อาจต้องสิ้นเปลืองไปกับค่ารักษาพยาบาล  จึงควรดูแลร่างกายของตนเองให้ดีทั้งในเรื่องการรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย มีอารมณ์ดี มีสุขอนามัยที่ดีไปพร้อมๆ กัน พร้อมทั้งหลี่กเลี่ยงอบายมุขด้วยค่ะ เพื่อที่เราจะได้มีสุขภาพดีและมีร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

อนามัยสิ่งแวดล้อม คือ การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้เอื้อและเหมาะสมต่อการส่งเสริมสุขภาพ จึงควรเก็บกวาดเช็ด ถูบ้านและบริเวณบ้านให้สะอาด มีน้ำสะอาดดื่มและใช้อย่างเพียงพอ มีส้วมที่ถูกสุขลักษณะ อากาศถ่ายเทสะดวก จัดเก็บสิ่งของเครื่องใช้เป็นระเบียบเพื่อความปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ไม่ทิ้งขยะในแหล่งน้ำ กำจัดแมลง และสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:คู่มือสุขภาพครอบครัวสำหรับประชาชน สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร


อ่านจบแล้ว เรารีบทำความสะอาดบ้านของเราให้น่าอยู่กันนะคะ สิ่งแวดล้อมที่ดีในบ้านจะสร้างสรรค์อารมณ์ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ทำให้บ้านของเราเปรียบดั่งวิมานที่น่าอยู่และทุกๆ คนก็อยากอยู่บ้านอย่างมีความสุข

อ.ที่ 3 อารมณ์- วันนี้คุณอารมณ์ดีแล้วหรือยัง?

อารมณ์และจิตใจ
ดูแลรักษาอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส และหาวิธีผ่อนคลายความเครียดเพื่อสุขภาพจิตที่ดี

สำหรับวันนี้ Happy Adminได้ค้นหาข้อมูลดีๆ มาให้อ่านกันเพื่อประโยชน์ในการผ่อนคลายความเครียดกันนะคะ จะได้อารมณ์ดีกันทุกคน และทุกๆ วันด้วยค่ะ

คิดอย่างไรไม่ให้เครียด
หาวิธีเพิ่มความสุขให้ตัวเรา
เครียด เป็นภาระที่ทุกคนไม่อยากประสบพบพาน แต่คงไม่มีใครที่ไม่เคยเครียด ดังนั้นมาหาวิธีการคิดเพื่อที่จะได้ไม่เครียดกันดีกว่า

1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง

2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ ไม่ด่วนสรุปอะไรง่ายๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่ายๆ แล้ว ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็กๆ น้อยๆ ไปได้อีกด้วย

3. คิดหลายๆ แง่มุม มองหลายๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม

4. คิดแต่เรื่องดีๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดีๆ ให้มากๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้วยังทำให้สบายใจมากขึ้นด้วย

5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เครียดน้อยลง จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยทีเดียว

ที่มา : ผู้หญิงนะคะดอทคอม
อ้างอิงจากเว็บไซต์สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.http://www.thaihealth.or.th/node/16159
และขอขอบคุณข้อมูลจาก คู่มือสุขภาพครอบครัวสำหรับประชาชน โดยสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อ.ที่ 2 ออกกำลังกายแต่ละวัย...แบบไหนดี

วันนี้เรามาเรียนรู้ถึง อ. ที่ 2 กันนะคะ ซึ่งก็คือการออกกำลังกาย










การออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ แต่ต้องเลือกวิธีให้เหมาะกับอายุด้วย การเล่นกีฬาที่ต้องใช้กำลังมากๆ หรือคนที่มีโรคประจำตัวแล้ว ออกกำลังกายโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของตน ก็จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอันตรายหรือบาดเจ็บได้ มาดูกันสิว่า วัยอย่างคุณควรออกกำลังกายอย่างไร...


การออกกำลังกายสำหรับเด็ก

การออกกำลังกายในวัยนี้ มุ่งเพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วปลูกฝังให้มีน้ำใจนักกีฬาและให้มีการแสดงออกถึงความสามารถเฉพาะตัว เพื่อให้มีการพัฒนาร่างกายทุกส่วน เช่น การวิ่ง ยิมนาสติก ฟุตบอล ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน และการละเล่นต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานให้กับเด็กได้อย่างดีและการออกกำลังกายในแต่ละวันควรทำวันละ 2 ชั่วโมง สลับกับการพักเป็นระยะๆ

การออกกำลังกายสำหรับหนุ่มสาว

สำหรับผู้ชายสามารถเล่นกีฬาได้แทบทุกชนิดที่ทำให้เกิดกำลัง ความแข็งแรง ความรวดเร็วและความอดทน เช่น การวิ่ง ฟุตบอล เทนนิส แบดมินตัน บาสเกตบอล การออกกำลังกายกล้ามเนื้อ ประเภทยก Weight ช่วยให้กล้ามเนื้อ แขน ขาแข็งแรง

ส่วนในหญิงนั้นควรเน้นกีฬาประเภทที่ไม่หนัก แต่ทำให้ร่างกายแข็งแรง และเสริมสร้างรูปร่างทรวดทรง เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก โยคะ และวอลเลย์บอล เป็นต้น

การออกกำลังกายสำหรับวัยกลางคน

ควรเป็นกิจกรรมที่เคลื่อนไหวช้า เน้นความเพลิดเพลิน ความสบายใจ และปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ชะลออายุทางชีวภาพไว้ได้นานถึง 12 ปี ทั้งยังช่วยให้คงช่วยเหลือตัวเองยามแก่เฒ่าไปได้อีกอย่างยาวนาน เช่น การออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจนเป็นพลังงาน อย่างวิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือการเดิน และกายบริหารต่างๆ ที่ช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนได้ดีขึ้น และช่วยบำรุงไฟธาตุให้แข็งแรงด้วย

การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์

การออกกำลังกายที่พอเหมาะจะเป็นประโยชน์สำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดยคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถออกกำลังกายได้ประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง การเริ่มต้นออกกำลังกายควรเริ่มวันเว้นวัน หรืออาทิตย์ละ 3 ครั้ง อย่าหักโหม และค่อยๆ เพิ่มขนาดตามความสามารถ กิจกรรมที่เหมาะสม เช่น การเดิน ว่ายน้ำ การถีบเครื่องปั่นจักรยาน การออกกำลังกายแบบแอโรบิค

การออกกำลังกายสำหรับหลังคลอด

สำหรับคนคลอดปกติควรเริ่มที่ 2-4 สัปดาห์ หลังจากคลอดโดยการผ่าตัด ควรเริ่มหลัง 4 สัปดาห์ กิจกรรมที่เหมาะสมคือ การเริ่มต้นที่ดีคือ การบริหารร่างกายในห้องและการเดิน เพราะการเดินเป็นการบริหารหลังที่ดี การเดินเร็วๆ หลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์จะเป็นการเตรียมตัวที่ดีสำหรับการออกกำลังกายในระดับต่อๆ ไป

การออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ

การเริ่มออกกำลังกายนั้นควรเริ่มจากการศึกษาหลักการให้ถูกต้อง แล้วค่อยๆ เริ่ม ไม่ควรหักโหมมากในครั้งแรกๆ เพื่อเป็นการปรับสภาพร่างกายก่อน ควรเริ่มจากการอบอุ่นร่างกาย (ประมาณ 5-10 นาที) ออกกำลังกาย (15-20 นาที) และจบด้วยการผ่อนคลาย(5-10 นาที) ทุกครั้ง ในขณะที่ออกกำลังกายไม่ควรกลั้นหายใจหรือสูดลมหายใจอย่างแรง ควรหายใจเข้าและออกยาวๆ เพื่อช่วยระบบการหายใจของร่างกาย การออกกำลังกายที่เหมาะสมของผู้สูงอายุนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน กิจกรรมที่เหมาะสมคือ เดิน วิ่ง รำมวยจีน

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ มีประโยชน์จากศูนย์ข้อมูล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (ศูนย์ข้อมูล สสส.)http://info.thaihealth.or.th/

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อ.ที่ 1 อาหาร-กินตามวัย...ห่างไกลโรค

"การกินอาหารที่ดี ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น ต้องกินให้ครบ 5 หมู่" อาหาร 5 หมู่ นั้นประกอบด้วย

1.โปรตีน เป็นอาหารประเภท เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง อาหารประเภทนี้จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพราะเมื่อคนเรากินอาหารเข้าไปแล้ว จะเกิดการเผาผลาญ หรือย่อยสลาย นำส่วนที่เป็นประโยชน์ไปใช้ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต

2.คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ อาหารจำพวก ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล อาหารประเภทนี้จะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

3.วิตามิน พืชผักต่างๆ ช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ เพราะอวัยวะในร่างกายมีการเคลื่อนไหว และทำงานตลอดเวลา จำเป็นต้องมีการเสริมสร้าง หรือทดแทนการสึกหรอ

4.แร่ธาตุ ผลไม้ต่างๆ ให้ประโยชน์เช่นเดียวกับอาหารประเภทวิตามิน

5.ไขมัน จะเป็นส่วนให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ซึ่งจะได้จากน้ำมัน หรือไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์

การกินอาหาร ควรกินให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดใดที่มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่อยู่ในตัวมันเอง
นอกจากนี้ Happy Adminยังมีข้อมูลที่น่าสนใจจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขในเรื่องของกินตามวัย...ห่างไกลโรคคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านจึงได้รวบรวมมาให้อ่านกันค่ะ

หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
ภาวะเสี่ยงต่อโรคทางโภชนาการ
- โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
- น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
อาหารที่ควรบริโภค
- อาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่มากขึ้น
- ดื่มนมรสจืด และปลาที่กินได้ทั้งตัว
- อาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก เช่น ตับ เลือด หัวใจ เนื้อสัตว์
- กินผักใบเขียวเข้ม
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารหมักดอง
- อาหารรสจัด
- อาหารที่ใส่ผงชูรส/สารเคมี
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ชา กาแฟ น้ำอัดลม
ข้อควรปฏิบัติ
- ฝากท้องทันทีเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์
- ตรวจหลังคลอดเมื่อครบ 4-6 สัปดาห์
- ดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน
- ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด
- ออกกำลังกายในท่าที่ไม่หักโหม

ทารก อายุ 0-12 เดือน
ภาวะเสี่ยงต่อโรคทางโภชนาการ
- โรคขาดโปรตีนและพลังงาน
- โรคขาดวิตามินเอ
- โรคขาดสารไอโอดีน
- โรคขาดวิตามินบี 1
อาหารที่ควรบริโภค
- ทารกแรกเกิด - 4 เดือนให้นมแม่อย่างเดียว ไม่ต้องให้น้ำและอาหารอื่นๆ
- อายุ 4 เดือนขึ้นไป เริ่มให้อาหารตามวัย ควบคู่กับนมแม่
- เมื่อเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป ควรให้อาหารครบ 5 หมู่
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารใส่สี สารกันบูด และผงชูรส เป็นต้น
ข้อควรปฏิบัติ
- การเตรียมอาหารสำหรับทารกต้องถูกสุขลักษณะและเหมาะสม ตามพัฒนาการการกิน การย่อย
เริ่มจากอาหารบดเหลวไปสู่อาหารอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย

เด็กวัยก่อนเรียน (อายุ 1-5 ปี)
ภาวะเสียงต่อโรคทางโภชนาการ
- โรคขาดโปรตีนและพลังงาน
- โรคขาดวิตามินเอ
- โรคขาดสารไอโอดี
- โรคขาดวิตามินบี 2
อาหารที่ควรบริโภค
- อาหารครบ 5 หมู่และหลากหลาย
- กินปลา เนื้อสัตว์ ไข่
- กินผัก ผลไม้เป็นประจำ
- ดื่มนมรสจืด วันละ 2-3 แก้ว
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารจำพวกขบเคี้ยว น้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมหวาน
ข้อควรปฏิบัติ
- ฝึกให้เด็กกินอาหารไทยให้หลากหลาย
- ฝึกมารยาทและนิสัยการบริโภคที่ดี

เด็กวัยเรียน (อายุ 6-19 ปี) วัยรุ่น (อายุ 10-24 ปี)
ภาวะเสียงต่อโรคทางโภชนาการ
- โรคอ้วน
- โรคขาดโปรตีน และพลังงาน
- โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
- โรคขาดสารไอโอดีน
อาหารที่ควรบริโภค
- อาหารครบ 5 หมู่ และหลากหลายครบ 3 มื้อ
- ดื่มนมรสจืดทุกวัน (ถ้าเป็นเด็กอ้วนดื่มนมพร่องมันเนย)
- ใช้เกลือเสริมไอโอดีนในการปรุงอาหารทุกครั้ง
- อาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก เช่นตับ เลือด เนื้อสัตว์
- กินอาหารไทย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารขบเคี้ยว น้ำอัดลม
- อาหารที่มีรสจัด เช่นหวานจัด เค็มจัด เผ็ดจัด
- อาหารจานด่วนแบบตะวันตก
ข้อควรปฏิบัติ
- กินอาหารครบ 3 มื้อ ไม่งดอาหารเช้า
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

วัยทำงาน (อายุ 15-59 ปี) ชายวัยทอง (อายุ 40-59 ปี) หญิงวัยทอง (อายุ 45-59 ปี)
ภาวะเสียงต่อโรคทางโภชนาการ
- โรคอ้วน
- โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคเก๊าท์
- โรคกระดูกพรุน
- โรคมะเร็ง
อาหารที่ควรบริโภค
- อาหารครบ 5 หมู่และหลากหลาย
- กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่วเมล็ดแห้ง
- กินอาหารไทย
- อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม เช่น นมรสจืด ปลาเล็ก ปลาน้อย กุ้งฝอย กุ้งแห้ง
- ใช้น้ำมันพืช (ยกเว้นน้ำมันเมล็ดปาล์มและน้ำมันมะพร้าว)ในการประกอบอาหาร
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารที่มีรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด เผ็ดจัด
- อาหารปิ้ง ย่างที่ไหม้เกรียม
- อาหารทอด
- เนื้อสัตว์ติดมัน
- กะทิ และเนย
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ข้อควรปฏิบัติ
- หมั่นดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพช่องปาก

ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป)
ภาวะเสียงต่อโรคทางโภชนาการ
- โรคขาดโปรตีนและกำลังงาน
- โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคกระดูกพรุน
อาหารที่ควรบริโภค
- อาหารครบ 5 หมู่และหลากหลาย เน้นปลาและพืชผักใบเขียว ผลไม้ไม่หวานจัด
- ลักษณะของอาหารควรเป็นชนิดที่เคี้ยวและย่อยง่ายประเภทต้ม นึ่ง ตุ๋น
- กินอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม เช่น นมพร่องมันเนย ปลาเล็ก ปลาน้อย
- ใช้น้ำมันพืช (ยกเว้นน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว)ในการประกอบอาหาร
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารทอด เนื้อสัตว์ติดมัน
- อาหารที่มีกะทิ และเนยมาก
- อาหารที่มีรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด
- ชา กาแฟ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ข้อควรปฏิบัติ
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เพียงพอตามธงโภชนาการ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
- ทำจิตใจให้แจ่มใส
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว
- ตรวจสุขภาพช่องปาก

กินตามวัย...ห่างไกลโรค
"อาหารคือตัวเรา" เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงเสมอโดยแต่ละกลุ่มวัยมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกันเริ่มตั้งแต่ทารกในครรภ์มารดา จนกระทั่งคลอดออกมาแล้วเจริญเติบโตจนกระทั่งถึงวัยสูงอายุ การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามสัดส่วนและปริมาณที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน ร่วมกับการออกกำลังกายจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย
"สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง"
ข้อมูลจาก กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข



อาหาร 5 หมู่ อ้างอิงข้อมูลจากสสส. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ http://www.thaihealth.or.th/