หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไม่น่าเชื่อ...ความทุกข์ที่คนเราทุกข์ใจที่สุด...เป็นเรื่องความรัก

จากประสบการณ์ที่เคยได้พูดคุยกับผู้คนมากมาย เมื่อมาลองนึกทบทวนดูเกี่ยวกับเรื่องความทุกข์ที่แต่ละคนมักกล่าวถึงกลับกลายเป็นเรื่องของความรัก มิใช่เรื่องความยากจน ทั้งๆ ที่ถ้าดูเพียงผิวเผินแล้ว ความยากจนนี่น่าจะน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะเราอาจจะไม่มีข้าวกิน ไม่มีบ้านที่อยู่อาศัย  ถ้าเราได้ลองกลับไปทบทวนเรื่องของความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ(Maslow’s Hierarchical Theory of Motivation)   ซึ่งค้นคว้าโดย Maslow กล่าวว่า

ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ( The Need –Hierarchy Conception of Human Motivation ) เรียงลำดับจากขั้นต้นไปสู่ความต้องการขั้นต่อไปไว้เป็นลำดับดังนี้

1. ความต้องการทางด้านร่างกาย ( Physiological needs )
2. ความต้องการความปลอดภัย ( Safety needs )
3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ( Belongingness and love needs )
4. ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Esteem needs )
5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ( Self-actualization needs )

ลำดับขั้นความต้องการของ Maslow มีการเรียงลำดับขั้นความต้องการที่อยู่ในขั้นต่ำสุด บุคคลจะต้องได้รับความพึงพอใจเสียก่อน จึงจะสามารถผ่านพ้นไปสู่ความต้องการที่อยู่ในขั้นสูงขึ้นไปตามลำดับได้

จะเห็นว่าทั้งความทุกข์จากความยากจนไม่มีอันจะกิน และความทุกข์เพราะความรักก็รวมอยู่ในความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ดังกล่าวนี้ด้วย จึงเป็นธรรมดาที่คนเราจะมีความทุกข์อันเกิดจากการที่ความต้องการของเราดังกล่าวนั้นยังไม่สมหวัง ไม่สมปรารถนา หรือยังไม่ได้รับการเติมเต็ม เราจึงทุกข์เพื่อดิ้นรนให้ตัวเราได้รับการตอบสนองความต้องการต่างๆ เหล่านั้น เมื่อขั้นต่ำสุดได้รับความพึงพอใจแล้ว ก็ไปทุกข์ข้ออื่นที่เป็นความต้องการที่สูงขึ้นไปนั่นเอง  แต่ถ้าเราอยู่ในระดับที่เราพอจะยอมรับได้เมื่อไหร่ การดิ้นรนก็เหนื่อยน้อยลง ความทุกข์ก็น้อยลงไปด้วย จึงเป็นอย่างที่คำพูดเก่าแก่ที่เรามักได้ยินอยู่เสมอว่า ให้เรารู้จักความพอดี แม้จะเป็นคำพูดที่เก่าแก่แล้วก็จริง แต่ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอ อีกคำขอแถมซึ่งก็ได้ยินจนหลายคนเบื่อ คือ ปล่อยวาง  นั่นแหละ คำพูดอมตะตลอดกาลที่สามารถช่วยให้เราคลายจากความทุกข์ได้

เรื่องของความทุกข์มีอีกมากมาย Happy Admin ขออนุญาตินำบทความจากเว็บไซต์ที่ผู้อื่นได้ทำไว้ดีแล้วมารวบรวมเพิ่มเติมส่วนท้ายนี้ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความทุกข์ เผื่อว่าจะช่วยให้เพื่อนๆ รู้สึกดีขึ้นนะคะ นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว เราต้องรีบขจัดปัญหาใดๆ ที่ทำให้เรามีความทุกข์ เพื่อว่าเราจะมีความสุขต้อนรับปีใหม่กันนะคะ

* ลำดับแรกขอขอบคุณเว็บไซต์ของ Industrial Management Engineering, King Mongkut's University of Technology North Bangkok : http://www.kmitnbxmie8.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5354814&Ntype=3  เพื่อนๆ สามารถแวะเข้ามาอ่านเรื่อง ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ(Maslow’s Hierarchical Theory of Motivation) เพิ่มเติมได้ที่นี่นะคะ
* ความรักกับความทุกข์ โดยท่าน ว. วชิรเมธี Posted by YingeXtreme  เว็บไซต์ http://www.oknation.net/blog/yingextreme/2009/09/17/entry-1
* ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ Posted by พี่ชาย เว็บไซต์ http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=109734&Ntype=4
* โชคดีที่มีความทุกข์ จากเว็บไซต์ http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538707011&Ntype=128
* ทำให้ความทุกข์กลัวเรา โดยหนูดี วนิษา เรซ จากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
* วิธีสลายความทุกข์ด้วยตัวเอง เว็บไซต์โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ว่านหางจระเข้กับความสวยความงาม

หลังจากที่ได้รับประทานน้ำว่านหางจระเข้ของพี่ข้างบ้านมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ Happy Admin ก็เลยนำเรื่องของว่านหางจระเข้มาเล่ากันซะเลย  จริงๆ ก็เป็นเรื่องโบราณๆ แล้วเพราะใครๆ ก็น่าจะรู้กันทั่วว่าว่านหางจระเข้นั้นมีสรรพคุณหรือประโยชน์อย่างไรบ้าง  แต่ว่าจะมีสักกี่คนที่ได้ตระหนักและได้นำว่านหางจระเข้มาใช้กับตนเองจริงๆ ในชีวิตประจำวัน

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aloe vera (L.) Burm.f.  ส่วนที่เรานำมาใช้ได้คือ ยางในใบ น้ำวุ้น เนื้อวุ้น และเหง้า

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

ใบ - รสเย็น ตำผสมสุรา พอกฝี
ทั้งต้น - รสเย็น ดองสุราดื่มขับน้ำคาวปลา
ราก - รสขม รับประทานถ่ายโรคหนองใน  แก้มุตกิด
ยางในใบ - เป็นยาระบาย (ห้ามใช้กับคนที่ตั้งครรภ์ กำลังมีประจำเดือน และคนที่เป็นริดสีดวงทวาร)
น้ำวุ้นจากใบ - ล้างด้วยน้ำสะอาด ฝานบางๆ รักษาแผลสดภายนอก น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำให้แผลเป็นจางลง ดับพิษร้อน ทาผิวป้องกันและรักษาอาการไหม้จากแสงแดด ทาผิวรักษาสิวฝ้า และขจัดรอยแผลเป็น
เนื้อวุ้น - เหน็บทวาร รักษาริดสีดวงทวาร ใช้รับประทานแก้โรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้อักเสบ อีกทั้งน้ำวุ้นและเนื้อวุ้นใช้รับประทานแก้โรคปวดตามข้อได้อีกด้วย
เหง้า - ต้มรับประทานแก้หนองใน และโรคมุตกิด

ว่านหางจระเข้กับความสวยความงาม

- วุ้นจากใบสดชโลมบนเส้นผม ทำให้ผมดก เป็นเงางาม และเส้นผมสลวย เพราะวุ้นของว่านหางจระเข้ทำให้รากผมเย็นเป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี ผมจึงดกดำเป็นเงางาม นอกจากนั้นแล้วยังช่วยรักษาแผลบนหนังศรีษะด้วย
- รักษาผิวเป็นจุดด่างดำ ผิวด่างดำนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอายุมาก หรือถูกแสงแดด หรือเป็นความไวของผิวหนังแต่ละบุคคล  ใช้วุ้นทาวันละ 2 ครั้ง หลังจากได้ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำสะอาด ต้องมีความอดทนมากเพราะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จึงจะหายจากจุดด่างดำ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ควรใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทาจะทำให้ผิวหนังมีน้ำมีนวลขึ้น
- รักษาสิว ยับยั้งการติดเชื้อ ช่วยเรียกเนื้อ ช่วยลดความมันบนใบหน้า เพราะในใบว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ

สำหรับสาระสำคัญ ที่สามารถรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอื่นๆ นั้น ได้ค้นพบว่าเป็นสาร Glycoprotein  มีชื่อว่า Aloctin A  เป็น  Anti-inflammatory  ซึ่งพบในทุกๆ ส่วนของว่านหางจระเข้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารนี้สามารถรักษาโรคได้หลายโรค เช่น มะเร็ง แก้อาการแพ้  รักษาไฟไหม้  และรักษาโรคผิวหนัง

กรณีใช้เป็นยาทาภายนอก อาจมีคนแพ้แต่น้อยมาก ไม่ถึง  1%  (ผลจากการวิจัย) อาการแพ้เมื่อทาหรือปิดวุ้นลงบนผิวหนัง จะทำให้ผิวหนังแดงเป็นผื่นบางๆ บางครั้งก็เจ็บแสบ อาการนี้จะเกิดขึ้นหลังจากทายา 2-3 นาที  ถ้ามีอาการเช่นนี้ ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดและเลิกใช้

สารเคมีที่มีในว่านหางจระเข้

Aloe-emodin, Alolin, Chrysophanic acid Barbaboin, AloctinA, Aloctin B, Brady Kininase Alosin, Anthramol Histidine, Amino acid , Alanine Glutamic acid Cystine, Glutamine, Glycine

ปัจจุบัน ว่านหางจระเข้ได้มีการนำมาผลิตโดยเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ครีมนวดผม โลชั่นหรือครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย After Sun Lotion  สบู่ ฯลฯ  ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปในท้องตลาด

ส่วนสำหรับท่านที่สนใจน้ำว่านหางจระเข้เพื่อนำไปจำหน่าย มีความสะอาดและปลอดภัยเพราะมีการปลูกแบบ Organic ในฟาร์มของตนเองไม่มีการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อโรค ยาฆ่าเชื้อรา มีทั้งสูตรธรรมชาติไม่ใส่น้ำตาล เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและน้ำตาล  และสูตรหวาน (น้อย) ซึ่งทั้ง 2 สูตรนี้มีปริมาณเนื้อวุ้นให้เยอะมากค่ะ รับประทานกันได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจ สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Aloe Drink โทร 081-5713331, 081-8433866

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_17_3.htm

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใกล้ช่วงเทศกาลกินเจแล้วค่ะ

อาหารเจ ห้องอาหารจีนเดอะพีค โรงแรมดุสิตธานี พัทยา
เทศกาลกินเจปี 2553 นี้ตรงกับวันที่ 8-16 ตุลาคม เพื่อนๆ บางคนคงเตรียมตัวที่จะกินเจกันแล้ว ไม่ว่าจะเตรียมเครื่องปรุงอาหาร, อาหารแห้ง เช่น เห็ด, ฟองเต้าหู้, วุ้นเส้น ฯลฯ หรือแม้กระทั่งบะหมี่สำเร็จรูปเจ ไว้ติดบ้านกันเผื่อวันไหนฝนตกแดดจัดก็สามารถทำอาหารเจรับประทานกันที่บ้านได้

"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม (รวมถึงต้นกระเทียม หัวหอม (รวมถึงต้นหอม)  หลักเกียว กุ้ยฉ่าย ใบยาสูบ  เพราะผักดังกล่าวเหล่านี้เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษที่ทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกายเป็นมูลเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ

1. กระเทียม ทำลายการทำงานของหัวใจ ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุไฟในกาย
2. หัวหอม    ทำลายการทำงานของไต      ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุน้ำในกาย
3. หลักเกียว  ทำลายการทำงานของม้าม  ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุดินในกาย
4. กุ้ยฉ่าย  ทำลายการทำงานของตับ       ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุไม้ในกาย
5. ใบยาสูบ  ทำลายการทำงานของปอด ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุโลหะในกาย

ปัญหาคือผู้คนจะสงสัยว่ากระเทียมก็ดี หัวหอมก็ดี ทราบกันมาว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย กระเทียมซึ่งทางการแพทย์และเภสัชค้นพบว่ามีสารที่สามารถละลายไขมันในเส้นโลหิต (คลอเลสเตอรอล) จึงใช้รับประทานเป็นยาได้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน เป็นต้น หอมแดง พบว่ามีสรรพคุณช่วยรักษาโรค เช่นขับลม แก้ท้องอืดแน่น ฯลฯ เป็นต้น  แต่ถ้าได้ศึกษาให้ดีแล้วการกินกระเทียม หัวหอม เป็นประจำทุกวันหรือกินมากเกินไป โดยเฉพาะทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แทนที่จะเป็นผลดีต่อร่างกายกลับกลายเป็นผลร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายเสียอีก

ตรงกันข้าม ถั่ว 5 สี กลับมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว นอกจากนี้การกินเจนั้นควรจัดให้มีผักและผลไม้ซึ่งในแต่ละวันนั้นควรมีให้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้

1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญญลักษณ์ ธาตุไฟ
2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญญลักษณ์ ธาตุน้ำ
3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญญลักษณ์ ธาตุดิน
4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญญลักษณ์ ธาตุไม้
5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญญลักษณ์ ธาตุโลหะ

ตัวอย่าง
สีแดง ผัก ได้แก่ มะเขือเทศ, พริกสุก, หัวแครอท   ผลไม้ ได้แก่ มะละกอ, ส้ม, แตงโม
สีดำ   ผัก ได้แก่ มะเขือม่วง, เผือก, เห็ดหูหนู         ผลไม้ ได้แก่ ละมุด, ลูกหว้า, องุ่น
สีเหลือง ผัก ได้แก่ ฟักทอง, ข้าวโพด, พริกเหลือง ผลไม้ ได้แก่ มะม่วง, กล้วย, ทุเรียน
สีเขียว ผัก ได้แก่ ผักคะน้า, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง          ผลไม้ ได้แก่ ฝรั่ง, ชมพู่, แคนตาลูปเขียว
สีขาว ผัก ได้แก่ ผักกาดขาว, กระหล่ำดอก, ไชเท้า  ผลไม้ ได้แก่ มะพร้าว, น้อยหน่า, มังคุด

คุณประโยชน์จากการกินเจ

1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน ช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
2. เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลส์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวและมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรง เบาสบายไม่อึดอัด มีสุขภาพดี
3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน และอวัยวะประกอบทั้ง 5 แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง
- อวัยวะหลักภายในทั้ง 5 ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
- อวัยวะประกอบทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดา
5. ไม่ค่อยปรากฏว่าผู้ที่รับประทานอาหารเจเป็นประจำจะป่วยเป็นโรคที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเหลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคเบาหวาน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร

การกินเจให้ผลดีต่อจิตใจดังนี้

1. จิตใจมีความสงบ เยือกเย็น สุขุม มีความเมตตาจิต อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โกรธง่าย
2. หยุดทำบาปตัดกรรมเวร
3. ทำให้มีสติมั่นคง ทั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และยามที่จิตวิญญาณจะออกจากร่างไป
4. ตนเอง ครอบครัว บุตรหลาน และบริวาร จะบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
5. บรรดาเหล่าเทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างสรรเสริญชื่นชมอำนวยพรให้การอารักขาคุ้มครองตลอดเวลา

นอกจากนี้การกินเจ ไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจแล้ว เพื่อช่วยลดการเข่นฆ่าเนื้อสัตว์ หากเราทำได้ก็ควรกินเจในวันสำคัญอื่นๆ ด้วย ได้แก่

1. วันเกิดตนเอง
2. วันเกิดของลูกหลาน
3. วันแต่งงาน
4. วันจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
5. วันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
6. วันทำบุญสร้างกุศล
7. วันขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เอาละค่ะ เมื่อเพื่อนๆ อ่านกันจบแล้วคงจะมีกำลังใจในการกินเจ เพื่อลดการฆ่าสัตว์กันนะคะ ในช่วงเทศกาลกินเจจะมีอาหารเจที่เยอะแยะมากมายหลายชนิดให้เพื่อนๆ รับประทานสลับสับเปลี่ยนกันไปตลอดเวลา 9 วัน อีกทั้งผลไม้บ้านเราก็อุดมสมบูรณ์เหลือเกิน ให้พวกเราได้อิ่มหนำสำราญโดยไม่ต้องหันไปมองเนื้อสัตว์เลย   ช่วงรับประทานเจนี้ลองสังเกตุสีของอุจจาระของตนเองดู จะเห็นว่าสีสวยมาก...555...บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีขึ้นนั่นเองค่ะ   ถ้าเพื่อนๆ ท่านใดหวังรับประทานอาหารเจเพื่อลดน้ำหนักละก้อ ต้องระวังเมนูที่มีมันมาก และพวกขนมหวานด้วยนะคะ  อย่าเข้าใจว่าเป็นอาหารเจแล้วไม่อ้วนนะ ถ้ามันมากก็ไม่ดี ทานแป้งมากก็ไม่ดีแน่นอนค๊ะ.....

"หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย"

ถ้าทุกๆ คนพร้อมใจกันงดเว้นเนื้อสัตว์หันมากินเจแม้เพียงคนละ 1 มื้อ สัตว์จำนวนนับหมื่นนับแสนชีวิตก็จะรอดตาย อย่ามองข้ามมหากุศลของการกินเจเพียงมื้อเดียว
ส่วนสำหรับใครที่กินเจทุกๆ วันอยู่แล้ว หรือกินเจเป็นประจำทุกวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาก็ดี Happy Admin ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ทำได้ต่อไปนานๆ   ส่วนเทศกาลกินเจปีนี้ใครที่กินเจไม่ว่าจะสามารถกินเจได้กี่มื้อก็ตาม Happy Admin ก็ขอร่วมอนุโมทนาด้วยเช่นกันค่ะ....


ขอยกคุณงามความดีให้กับ หวัง ซื่อ ไฉ่ . เสริมมงคลชีวิตด้วยการกินเจ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : แวลูพลัส อินเตอร์เนชั่นแนล, 2544
ขอขอบคุณรูปอาหารเจที่น่ารับประทานจาก http://www.thaipr.net/nc/sharetofacebook.aspx?newsid=9971B9037E58FD95F1CE8BA056E12EFC

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว...ไม่ใช่ข่าวใหม่แต่ก็ขอ post อีกที

Happy Admin จำได้ว่าเคยอ่านสูตรการทำโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว จากหนังสือเรื่อง "นาฬิกาชีวิต"  นานหลายปีแล้ว  และหลังจากที่ได้อ่านจากหนังสือเล่มนี้นานเหมือนกันจึงได้เจอรายการ "30 ยังแจ๋ว" ทางช่อง 3 นำมาเล่าให้ฟังกันอีกทีนึง ซึ่งก็ทำให้เกิดความสนใจและมีท่านผู้ชมมากมายที่จดสูตรไม่ทันจากรายการ "30 ยังแจ๋ว" ในวันนั้นก็ขวนขวายหาสูตรโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว กันจ้าละหวั่นไปหมด เรื่องนี้มันมีเหตุผลค่ะ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับคุณผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทุกๆคนเลยค่ะ อ่านบทความนี้ก่อนนะคะแล้วจะทราบว่าสูตรโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว น่าทานขนาดไหน ทำไมวันนั้นจึงทำให้ท่านผู้ชมทั่วประเทศพากันสนอกสนใจมากขนาดนั้น

โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว เป็นวิธี detox ลำไส้เล็กตามธรรมชาติ เป็นสูตรที่นำมาจากพระไตรปิฏกเมื่อกินโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาวเข้าไปจะไปล้างลำไส้ได้ แลคโตบาซิลัสในโยเกิร์ตจะไปช่วยย่อยไขมันและขยะในลำไส้ ให้เป็นวิตามินบี 12 และวิธีการนี้จะช่วยล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาดอีกด้วย

เครื่องปรุง     โยเกิร์ต  1/2 ถ้วย
                       นมสด 1 กล่อง
                       น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
                       มะนาว  1 ลูก

วิธีทำ นำเครื่องปรุงทั้งหมดผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามใจชอบ

สรรพคุณ - ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ทำให้ระบบดูดซึมบกพร่องเป็นต้นเหตุของปัญหาเหล่านี้คือ

1. ถุงน้ำดีข้น เมื่อถุงน้ำดีข้น ผลที่ตามมา ได้แก่
- นอนไม่หลับ
- อารมณ์ฉุนเฉียว
- ถ้าข้นถึง 80% จะเป็นนิ่วในไต
- เหงือกบวม (การนอนหลับไม่เต็มอิ่มทำให้เหงือกบวมได้)
- สายตาเสื่อม
- ทำให้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- ส่งผลกระทบไปถึงปอด
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้มึนศรีษะ
3. ไตจะเสื่อมเพราะต้องทำงานหนัก เมื่อไตเสื่อมเป็นผลให้ความจำลดลง
* ไตซ้ายผิดปกติ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ ความรักสวยรักงามจะลดลงและเป็นคนขี้ร้อน
* ไตขวาผิดปกติ  ความจำจะลดลง และเป็นคนขี้หนาว
4. เลือดเลี้ยงหัวใจน้อย ถ้าเลือดเลี้ยงหัวใจเหลือเพียง 30% เครื่องมือแพทย์ จะตรวจพบอาการของโรคหัวใจ
5. ม้ามชื้น ทำให้อาหารและน้ำที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมัน เป็นผลให้อ้วนง่าย
6. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่าย เพราะม้ามไปเบียดปอด คนม้ามโตกินอาหารเท่าไรก็จะไม่อ้วน (ม้ามเป็นตัวควบคุมเม็ดเลือดขาวและน้ำเหลือง)
7. กรณีไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้มีผลดังนี้
- จะเป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- เกิดโรคภูมิแพ้
8. ไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก

หมายเหตุ โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว นี้ถ้ากินช่วงเช้าจะช่วยลดความอ้วน แต่ถ้ากินช่วงบ่าย (หลังบ่ายสามโมง) จะเพิ่มความอ้วน

ข้อมูลอ้างอิง :อาจารย์นวลฉวี ทรรพนันทน์. นาฬิกาชีวิต.เว็บไซต์ http://www.si.mahidol.ac.th/Th/division/shdp/admin/knowledges_files/5_27_1.pdf

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ส้มตำผลไม้...เมนูสุขภาพดีจ๊ะ


Happy Admin เคยทานส้มตำผลไม้แล้วอร่อยม๊ากๆ แถมมีวิตามินแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการหลากหลายชนิด  ตอนแรกก็ซื้อทาน ต่อมาก็ลองทำทานเอง ทำง่ายมากค่ะ และไม่เสียเวลาเตรียมของมากนัก เพื่อนๆ ที่รักสุขภาพลองทำทานกันดูนะคะ วันนี้หาสูตรมาบอกไว้เผื่อเพื่อนๆ จะได้นำไปใช้ทำตามสูตรนี้ได้หรืออาจดัดแปลงชนิดผลไม้หรือเครื่องปรุงต่างๆ ตามใจชอบ

ส้มตำผลไม้

ส่วนประกอบ

1. ผลไม้ตามที่ชอบ หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 2 ถ้วยตวง
2. กุ้งฝอยหรือกุ้งต้มสุกแล้วแต่ชอบ      40 กรัม
3. ผักใบเขียวใช้ตกแต่งจาน                  ตามชอบ



ส่วนประกอบน้ำส้มตำ

1. พริกขี้หนูใส่ได้ตามชอบ
2. กระเทียม 1 ช้อนชา
3. น้ำปลา 3 ช้อนชา
4. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
5. น้ำมะนาว 3 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำ

1. ผลไม้ล้างปอกเปลือกให้สะอาด นำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ หลังหั่นแล้วควรเก็บในตู้เย็นเพื่อให้ผลไม้กรอบอร่อย
2. นำกระเทียม พริกขี้หนูโขลกรวมกันให้ละเอียด เติมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ
3. นำผลไม้ที่หั่นแล้ว ลงไปคลุกเคล้ากับน้ำส้มตำ ชิมรสชาติอีกครั้งตามชอบ
4. ตักใส่จานโรยด้วยกุ้งที่เตรียมไว้

คุณประโยชน์ของเมนูส้มตำผลไม้

ผลไม้ เป็นอาหารที่มีวิตามินซีสูง เส้นใยสูง และน้ำตาลจากผลไม้ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย
กุ้งต้ม ให้โปรตีนที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย (หากใช้กุ้งฝอยจะได้รับแคลเซียมด้วย)

เพื่อนๆ ค่ะ ส้มตำผลไม้ เป็นเมนูสุขภาพดีที่ทำได้ไม่ยากเลย นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนอีกด้วย  ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนไม่ควรอดอาหารนะคะ แต่สามารถทานผักหรือผลไม้อย่างเมนูนี้ได้ ทำให้อิ่มท้องไม่โหยเกินไปนัก พบกันใหม่บทความหน้าค่ะ จะเอาเมนูสุขภาพมาฝากอีกอันนึง ซึ่งดีต่อสุขภาพมากเช่นกัน

ข้อมูลอ้างอิง: "เมนูสุขภาพดี...ที่ Viva  ส้มตำผลไม้."Health Magazine 37C, 56(ตุลาคม-ธันวาคม2009).หน้า 23
รูปส้มตำผลไม้จาก : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=patchchoy&month=10-2008&date=21&group=16&gblog=5
รูปผลไม้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำจาก : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=thehappinest&month=05-2008&date=16&group=2&gblog=9