หน้าเว็บ

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กินตามกรุ๊ปเลือด...ไม่ยากอย่างที่คิด...ลองทำดูนะคะ

กรุ๊ปเลือดคือสิ่งที่ตัดสินว่ากินอะไรจึงจะเป็นผลดีต่อสุขภาพมากที่สุด

หมู่โลหิตหรือกรุ๊ปเลือดเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม อาจกล่าวได้ว่ากรุ๊ปเลือดมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดต่อระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองของร่างกาย นอกจากนี้กรุ๊ปเลือดยังเป็นตัวกำหนดได้ว่าเราควรกินอะไรจึงจะมีสุขภาพแข็งแรง หากกินผิดอาจทำให้เจ็บป่วย ดังนั้นถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรง มีระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองที่เข้มแข็งก็ต้องกินอาหารที่เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือดของตน

คนเลือดกรุ๊ปเอ ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์

ตามสถิติทางการแพทย์ โรคที่คนเลือดกรุ๊ปเอมีโอกาสเป็นได้ง่าย ได้แก่ แผลฝีหนองจากเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ติดเชื้อซาโมเนลลา วัณโรค โรคบิด คอตีบ ไข้หวัดใหญ่ หลอดเลือดแข็งตัว อาการข้ออักเสบรูมาติก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคลมบ้าหมู โรคพิษสุรา
ผลการวิจัยแสดงว่าคนเลือดกรุ๊ปเอ สัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งของระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลิ้น มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งหลอดอาหาร โดยเฉพาะคนเลือดกรุ๊ปเอมีอัตราการป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารสูงอย่างชัดเจน

ข้อแนะนำการกินอาหารของคนเลือดกรุ๊ปเอ

ควรพยายามเลี่ยงผลิตภัณฑ์นม งดการปรุงอาหารด้วยวิธีทอด ผัด และย่าง หากกินเนื้อสัตว์ปริมาณมากทุกวันจะทำให้อาหารไม่ย่อย รบกวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ และอาจเกิดลิ่มเลือดอุดกั้น (Obstructive Thrombus) โรคหัวใจ โรคลมปัจจุบัน (Stroke) ท้องผูก โรคผิวหนัง และโรคมะเร็ง

ขอแนะนำอัตราส่วนของอาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ปเอ ดังนี้

ผัก 55% ผลไม้ 20% ธัญพืช ถั่วและเมล็ดพืชเปลือกแข็ง 20% ไข่และอาหารทะเล 5% (ถ้าวันไหนกินไข่ควรงดอาหารทะเล)

การออกกำลังกาย

ไม่ควรออกกำลังกายหนัก ขอแนะนำให้ออกกำลังกายด้วยการฝึกโยคะ ชี่กง หรือรำมวยไท่จี๋ (ไท้เก๊ก) นั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือทำสมาธิเป็นประจำเพื่อให้จิตใจสงบ เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ

คนเลือดกรุ๊ปโอ ไม่ควรกินมังสวิรัติเป็นเวลานาน

ตามสถิติทางการแพทย์ โรคที่คนเลือดกรุ๊ปโอมีโอกาสเป็นง่าย ได้แก่ โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ตับแข็ง ถุงน้ำดีอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ โรคหืด และแผลฝีหนอง โดยทั่วไปคนเลือดกรุ๊ปโอไม่ค่อยเจ็บป่วย อายุขัยเฉลี่ยก็ยาวกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นอย่างเห็นได้ชัด

ข้อแนะนำการกินอาหารของคนเลือดกรุ๊ปโอ

โดยทั่วไปคนเลือดกรุ๊ปโอจำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์ปริมาณหนึ่ง หากกินแต่พืชผักเป็นเวลานาน ร่างกายจะไม่ดูดรับสารอาหารที่ระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองต้องการอย่างครบถ้วน ทำให้เจ็บป่วยง่าย

ขอแนะนำอัตราส่วนของอาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ปโอ ดังนี้

ผักชนิดต่างๆ 75% ผลไม้ 10% เนื้อสัตว์ อาหารทะเล และนมแพะเล็กน้อย (ไม่ใช้นมวัว)10% อีก 5% เป็นธัญพืชกับเมล็ดพืชเปลือกแข็ง

การออกกำลังกาย

ควรเลือกการออกกำลังกายหนักตามความชอบและออกกำลังกายแบบแอโรบิก อย่างเล่นฟุตบอล เดินเร็ว วิ่งระยะสั้น

คนเลือดกรุ๊ปบี ไม่ควรกินเนื้อสัตว์

ตามสถิติทางการแพทย์ โรคที่คนเลือดกรุ๊ปบีมีโอกาสเป็นง่าย ได้แก่โรคบิด ไข้หวัดใหญ่ โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคเอสแอลอี โรคเกี่ยวกับกระดูก โรคระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธ์ โรคข้อต่ออักเสบ วัณโรค มะเร็งช่องปาก และมะเร็งเต้านม คนเลือดกรุ๊ปบียังมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่น

ข้อแนะนำการกินอาหารของคนเลือดกรุ๊ปบี

ขอแนะนำอัตราส่วนของอาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ปบี ดังนี้

ผักชนิดต่างๆ 55% ผลไม้ 10% พืชประเภทหน่อและหัว 15% เมล็ดพืชเปลือกแข็ง 10% ไข่และนมแพะ 10%

การออกกำลังกาย

สำหรับการออกกำลังกาย ควรอยู่ในระดับปานกลาง เช่นเดินเร็ววันละ 30 นาที

คนเลือดกรุ๊ปเอบี ควรงดเนื้อไก่และเนื้อวัว

ตามสถิติทางการแพทย์ โรคที่คนเลือดกรุ๊ปเอบีมีโอกาสเป็นง่าย ได้แก่ ติดเชื้อกลัดหนอง โรคทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน ไวรัสตับอักเสบ และโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังพบว่าคนเลือดกรุ๊ปเอบีมีอัตราการป่วยเป็นโรคจิตสูงกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นถึง 3 เท่า แต่มีอัตราการป่วยเป็นวัณโรคและโรคโลหิตจางขณะตั้งครรภ์น้อยกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นมาก

ข้อแนะนำการกินอาหารของคนเลือดกรุ๊ปเอบี

โดยพื้นฐานแล้วยึดตามอัตราส่วนของอาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ปบี โดยกินผักต่างๆ 55% พืชประเภทหน่อและหัว 15% ผลไม้ 5% เมล็ดพืชเปลือกแข็ง 15% ไข่และนมแพะ 10%

ส่วนการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปเอบีนั้น ในหนังสือที่ Happy Admin ไปค้นคว้ามาไม่ได้กล่าวถึง แต่คิดว่าน่าจะเป็นการออกกำลังกายคล้ายคนเลือดกรุ๊ปบี คือควรอยู่ในระดับปานกลาง เช่นเดินเร็ววันละ 30 นาที

หากเพื่อนๆ สนใจเกี่ยวกับเรื่องกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดและต้องการข้อมูลอย่างละเอียดมากกว่านี้เพื่อนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันดูละก็ ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูเพิ่มเติมนะคะ (Happy Adminไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้ผลิตหนังสือ เพียงแนะนำเพื่อนๆ เผื่อข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ค่ะ)

ขอขอบคุณข้อมูลของ Dr. Tom Wu แปลโดย เรืองชัย รักศรีอักษร.ธรรมชาติช่วยชีวิต ฉบับปรับปรุง.พิมพ์ครั้งที่ 5.กรุงเทพฯ.นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์,2552

ไม่มีความคิดเห็น: