หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การดื่นน้ำสำคัญนะคะ อย่ามองข้ามไป!


มีเพื่อนๆ หลายคนที่มีผิวแห้ง ริมฝีปากแห้ง มักจะเข้าใจว่าเราต้องทาโลชั่น ทาลิปมันเพื่อลดหรือบรรเทาอาการผิวแห้ง แต่เอ๊ะ...ทาโลชั่นเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น เปลี่ยนยี่ห้อก็แล้ว บางคนก็แห้งจนแสบผิวแสบริมฝีปากไปหมด เพื่อนๆ คะ...อย่ามองข้ามเรื่องของการดื่มน้ำในแต่ละวันให้เพียงพอนะคะ ตามหลักวิชาการแล้วเราควรดื่มน้ำไม่ต่ำกว่าวันละ 8-10 แก้วต่อวัน แต่ Happy Admin คิดว่าสำหรับคนที่มีผิวแห้ง ควรจะดื่มให้มากกว่านี้ รวมทั้งอย่าลืมทานอาหารที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ ได้แก่ แกงจืดที่มีผักต่างๆ ทานผักที่มีน้ำมากได้แก่ แตงกวา มะเขือเทศ ฝัก บวบ ฯลฯ รวมทั้งผลไม้ เช่นแตงโม สับปะรด ส้ม แอปเปิ้ล สาลี่ ฯลฯ (ยกเว้นผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมผลไม้ที่มีรสหวาน)

เพราะน้ำนี่ละค่ะ ที่จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น ช่วยบรรเทาอาการผิวแห้ง และริมฝีปากแห้งได้ (น้ำในที่นี้คือน้ำเปล่านะคะ ไม่ใช่น้ำหวาน หรือน้ำอัดลม ถ้าดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลมมากเกินไปเดี๋ยวความอ้วนจะถามหาอีก) ยิ่งถ้าช่วงไหนอากาศร้อนมีเหงื่อออกมากๆ ยิ่งต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อเข้าไปชดเชยให้กับร่างกาย
นอกจากนี้ การดื่มน้ำจะช่วยลดการอืด บวมได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักยิ่งต้องสนใจดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ดีขึ้นค่ะ (ภาวดี วิเชียรรัตน์.เอ็นจอย อีทติ้ง.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ.ดอกหญ้า 2000.2545.หน้า 28)

ยังไงก็ตามสำหรับผู้ที่ผิวแห้งมากและมีอาการแสบร้อนผิว หรือมีผื่นตุ่มขึ้น อันเนื่องมาจากผิวมีการอักเสบร่วมด้วยก็จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังนะคะ อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะอาการผื่นตุ่มอาจลุกลามกินบริเวณกว้างได้ อาการดังกล่าวนี้อาจพบได้ในผู้สูงอายุที่มีผิวแห้งค่ะ ซึ่งอาจเป็นเรื่องปัญหาสุขภาพอย่างอื่นหรือการมีทุโภชนาการร่วมด้วย ปรึกษาคุณหมอดีกว่าแน่นอนค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไม่ได้เจอกันนาน


ช่วงที่ผ่านมามีวันหยุดหลายวันทั้งวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา Happy Admin ได้หายเงียบไปเพราะไปทำบุญต่างจังหวัดและพาครอบครัวไปเที่ยวกัน ฝนก็ตกม๊ากๆ แถมตกกันแทบทุกวัน เมื่อโดนฝนก็ต้องมาเป็นหวัดไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้เข้ามา update เว็บไซต์เลย คิดถึงงานและผู้อ่านมากค่ะ ขณะที่ซุ่มเงียบรักษาตัวอยู่ก็หาข้อมูลดีๆ มาให้อ่านติดตามกันเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้อ่านทุกๆ ท่านค่ะ แหม... การไม่เป็นโรคเนี่ยเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ นะคะ ไม่สบายทีก็ต้องเสียตังค์ค่าหมอค่ายา เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากจริงๆ ค่ะ ยังไงก็อย่าลืมติดตามอ่านเป็นกำลังใจให้ Happy Admin กันต่อไปนะคะ

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพื่อนๆ รู้จัก "นาฬิกาชีวิต" ไม๊คะ?




เรื่องของ"นาฬิกาชีวิต" เป็นเรื่องการดูแลสุขภาพที่เผยแพร่โดยอาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา ท่านเป็นนักธรรมชาติบำบัดที่มีพื้นฐานจากครอบครัวแพทย์แผนไทยประกอบกับมีประสบการณ์ในการสืบค้นภูมิปัญญาไทยตามแนวธรรมชาติบำบัดยาวนานกว่า 30 ปีทั่วประเทศ ได้ค้นคว้าการแพทย์ในพระไตรปิฏกของพุทธศาสนา และท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้ลูกดิ่ง (Pendulum) สำหรับประเมินสภาวะสุขภาพผสมผสานกับความรู้เรื่องธรรมชาติบำบัดดังกล่าว อาจารย์ สุทธิวัสส์ ได้เผยแพร่ความรู้เรื่องสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บเกิดจากมูลเหตุตามพระไตรปิฏก คือ
1. กรรม 2. จิต 3. พลัง 4. ร่างกายและอาหาร
ความรู้เรื่องนาฬิกาชีวิตนี้ท่านได้เผยแพร่ไว้และมีผู้ศรัทธานำมาเผยแพร่ต่อๆ กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง

การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง

อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)

การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า "นาฬิกาชีวิต"
การดำเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้

01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโท
นิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งสารมีราโทนินเป็นประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหารเพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อยๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากจึงไม่ได้ทำหน้าหลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว
05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า
07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้าขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
09.00-11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือดสร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศรีษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
13.00--15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภทเพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่นวิตามินซี บี โปรตีน เพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลส์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อยไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน
15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม
19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ
21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี (ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ) อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตื่นเช้าจะจาม ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอนหรือก่อนเวลา 23.00 น.

อ้างอิงข้อมูล: อาจารย์นวลฉวี ทรรพนันทน์. นาฬิกาชีวิต.เว็บไซต์ http://www.si.mahidol.ac.th/Th/division/shdp/admin/knowledges_files/5_27_1.pdf
รูปภาพประกอบ : ล้อเกวียน.เวลาชีวิต.พิมพ์ครั้งที่ 5.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์กลั่นแก่น,สิงหาคม 2550.